posttoday

สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ผู้วางกลยุทธ์ของไทยพาณิชย์

08 มกราคม 2560

หากจัดอันดับนักเศรษฐศาสตร์หญิงในประเทศไทย ชื่อของ สุทธาภา อมรวิวัฒน์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์

โดย...ศุภลักษณ์ เอกกิติวงษ์

หากจัดอันดับนักเศรษฐศาสตร์หญิงในประเทศไทย ชื่อของ สุทธาภา อมรวิวัฒน์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จะต้องติดโผด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร

สุทธาภา รั้งตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดของผู้บริหารสูงสุดของ Economic Intelligence Center หรือศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานกลยุทธ์ของธนาคารเป็นคลังสมองที่ผลิตงานวิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ เพื่อใช้ในงานของธนาคารแถมเผยแพร่ต่อลูกค้าและสาธารณชนอีกด้วย

“เดิม EIC ทำแต่เศรษฐกิจมหภาค แต่ วิชิตสุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารของธนาคาร อยากให้ปรับบทบาทมาทำเชิงกลยุทธ์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาร์เก็ตติ้ง การตลาด การค้าขาย หลายๆ เรื่องนำเอาองค์ความรู้หลายด้านของธนาคารมารวมศูนย์ในที่เดียวเป็นงานที่สนุกและท้าทายมาก” สุทธาภา กล่าว

ก่อนมาร่วมงานที่ธนาคารไทยพาณิชย์ เธอไม่ได้เป็นหน้าใหม่ในวงการ เพราะมีประสบการณ์ทำงานกับองค์กรระหว่างประเทศและภาคเอกชนชั้นนำ ได้แก่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) สหรัฐอเมริกา บริษัทที่ปรึกษา Booz Allen Hamilton สหรัฐอเมริกา ING Group เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งระดับผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังอีกด้วย

จุดเริ่มต้นของการเป็นนักเศรษฐศาสตร์มาจากการได้ทุนพระราชทานเล่าเรียนหลวง ได้เลือกเรียนสาขาคณิตศาสตร์ประยุกต์ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตอนนั้นถ้าถามความชอบจริงๆ เป็นคนที่ชอบคณิตศาสตร์มาตั้งแต่เด็กเป็นวิชาที่ชอบมาก เหมือนมีเรื่องราวหลายอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าผู้หญิงชอบภาษาผู้ชายชอบคณิต แต่ไม่เสมอไป ส่วนตัวชอบวิชาเลข ที่ฮาวาร์ดจะเน้นลิเบอรัล อาร์ต  ฉะนั้นต้องเลือกเรียนวรรณกรรม ปรัชญา กรุ๊ปศิลปะควบคู่ไปด้วย ทำให้มองเห็นวิชาหลากหลาย ทำให้เรามองเห็นความเชื่อมโยงวิชาคณิตศาสตร์กับศิลปะ ความเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์กับจิตวิทยา ความเชื่อมโยงระหว่างคณิตศาสตร์กับประวัติศาสตร์ การศึกษาแบบนี้นำมาซึ่งทำให้เราสามารถมองจากมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่เรียนมาแบบเดียวกัน

“หลังจากจบตรีก็ทำงาน Management Consulting ที่บอสตัน ช่วงสั้นๆ อยู่ 1 ปี ช่วงที่เรียนจบปริญญาตรีเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 พอดี จึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทที่ศศินทร์ และไปต่อปริญญาเอก สาขาเศรษฐศาสตร์ การบริหารและนโยบาย สถาบันเทคโนโลยีแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ (M.I.T.) สหรัฐอเมริกา” เธอย้อนประวัติให้ฟัง

ช่วงนั้นสุทธาภาทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับ Wellfair Economic and Dicision Theory หนึ่งในแอพพลิเคชั่น ที่ทำคือกลับเข้ามาดูเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

หลังจากเรียนจบกลับมาสุทธาภาดำเนินรอยตามบิดา พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ เข้ารับราชการในสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)

“ช่วงที่ทำงานที่กระทรวงการคลังก็ได้มีโอกาสทำนโยบายรัฐหลายเรื่องทั้งนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนการออมแห่งชาติ กองทุนหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน เป็นต้น คิดว่ามีความเข้าใจในเรื่องของนโยบายประชานิยม แต่ไม่ชอบให้ใช้คำนี้ เพราะว่านโยบายมันดีขึ้นอยู่กับการที่รัฐเอาไปปรับใช้ ช่วงนั้นได้ประสบการณ์ทำงานเยอะมาก” สุทธาภา กล่าว

แม้จะเป็นผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคของ สศค.แล้ว แต่สุทธาภาตัดสินใจลาออกและไปทำงานกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นงานที่อยากทำเพราะอยากมีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

“ที่ไอเอ็มเอฟได้รับรู้ข้อมูลของเศรษฐกิจหลายๆ ประเทศ แต่ไม่ได้ลงมือทำให้งานสำเร็จ เน้นที่งานด้านที่ปรึกษาให้คำแนะนำว่าเกิดปัญหาแล้วต้องแก้ไขอย่างไร บังเอิญได้ดู Emerging Market ในเอเชีย และไปทำนโยบายที่ดูเรื่องเกี่ยวกับ Financial Stability ของประเทศเกิดใหม่ ได้ดูระบบแบงก์ต่างๆ ช่วงนั้นได้รับผิดชอบ Economist Program ช่วงปี 2006 ไอเอ็มเอฟมองว่าไม่มี Crisis ในโลกนี้ ก็เลยให้เด็กในโปรแกรมนี้ออกไปทำงานข้างนอก เพราะเขามองว่าเศรษฐกิจโลกมีแต่โตๆ ก็เลยไปทำงานที่ ING Group เนเธอร์แลนด์ ในทีม Risk Management แป๊บเดียวก็เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐอเมริกา” สุทธาภา กล่าว

ช่วงนี้ได้เห็นสถาบันการเงินในสหรัฐและยุโรปมีปัญหาหนัก ได้เห็นข้อบกพร่องของการบริหารความเสี่ยงที่ไม่ดี ช่วงนั้นทางไอเอ็นจีกรุ๊ปได้เข้ามาซื้อธนาคารทหารไทย จึงถูกส่งกลับมาดูแลการบริหารความเสี่ยงที่ธนาคารทหารไทย จึงได้มาสร้างทีมงานวิเคราะห์ความเสี่ยง ทำงานสนุกมากแต่ไม่นานก็อิ่มตัว จึงย้ายมาร่วมงานกับธนาคารไทยพาณิชย์

สุทธาภา กล่าวว่า ไฮไลต์ของชีวิตจริงๆ คือการรับทุนเล่าเรียนหลวง ทุนพระราชทาน รู้สึกได้มีโอกาสเอาวิชาความรู้ของเรามาทำความเข้าใจกับหลักปรัชญาที่ท่านพระราชทานให้คนไทยและประชาคมโลก ในช่วงนั้นได้เข้ามาเก็บข้อมูลหลายองค์กรในประเทศไทย ก็ทำให้เข้าใจเศรษฐกิจไทยมากขึ้น วันนั้นยอมรับว่าเรามองจากมุมมองของตะวันตก ทำให้เรามองว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องการบริหารความเสี่ยง แต่จริงๆ หลังจากเข้ามาคุยมากๆ เข้า และก็กลับมาทำงานในเมืองไทยและได้ทำความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้ว ไม่ใช่หลักเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นหลักปรัชญามันลึกกว่านั้นมาก และเป็นอะไรที่ลึกกว่าสิ่งที่ปรัชญาตะวันตกมอง เพราะเป็นปรัชญาแบบตะวันออก มองไปถึงความพึงพอใจข้างในของคน ไม่ใช่แค่สมบัติภายนอก ฉะนั้นไม่ใช่แค่ Moderate แต่เป็นเรื่องของความเพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ Wellfair Function แต่เป็นความพอใจภายในของคน ก็เลยมองเห็นความลุ่มลึกและรู้สึกว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณมากจริงๆ ที่ท่านได้พระราชทานสิ่งเหล่านี้ให้กับประชาชนชาวไทย

แม้จะทำงานหนัก แต่สุทธาภายังหาเวลาไปนั่งวิปัสสนาที่สถานปฏิบัติธรรมทุกปี ครอบครัวสอนว่าไม่ให้โฟกัสในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ต้องใช้ชีวิตให้สมดุล ทั้งครอบครัว งาน สุขภาพ และสังคม

ก่อนจากกันเธอทิ้งท้ายว่า “คุณพ่อสอนให้เคารพผู้อื่น ภูมิใจที่เป็นลูกตำรวจ ภูมิใจที่สถาบันนี้มีความสำคัญต่อทุกสังคม ถ้าไม่มีตำรวจสังคมคงวุ่นวาย”

ข่าวล่าสุด

รองนายกฯ “เอกนิติ” มอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2568