ระบบกงสี
ครอบครัวผมมีสมาชิกใหม่เป็นลูกสะใภ้ ซึ่งภวัฒน์ให้ภรรยาเข้ามาร่วมงานในกงสี เพราะโรงงานของเรามีการค้าขาย
โดย...ซิวซี แซ่ตั้ง
ครอบครัวผมมีสมาชิกใหม่เป็นลูกสะใภ้ ซึ่งภวัฒน์ให้ภรรยาเข้ามาร่วมงานในกงสี เพราะโรงงานของเรามีการค้าขายกับคนต่างชาติมากขึ้นเรื่อยๆ คิมิเอะเข้ามาช่วยดูแลด้านนี้ได้ ในยุคผมคนจีนที่ทำธุรกิจ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ลูกหลานเข้ามาทำงานร่วมกันในกงสี ผมก็เหมือนกัน ผมกับภวัฒน์จึงต้องมาหารือกันถึงเรื่องระบบต่างๆ เรื่องแรกคือการให้เงินเดือน ได้มีการจัดสรรเงินเดือนให้กับลูกๆ ที่เข้ามาทำงานกับกงสี โดยให้เงินเดือนพอๆ กับที่ลูกๆ ควรได้ หากเขาไปทำงานกับบริษัทอื่นที่คล้ายกัน
อัตราเงินเดือนของลูกๆ ในขณะนั้นภวัฒน์ได้เงินเดือน 2,000 บาท ลูกสาว 3 คน ได้เงินเดือนประมาณ 1,000 บาท 800 บาท และ 700 บาท ตามลำดับ ส่วนลูกที่เรียนอยู่ก็ได้เงินไปโรงเรียนพอกับค่ารถ ค่าอาหาร มีเหลือเก็บบ้างเล็กน้อย เด็กๆ ก็จ่ายเป็นรายวัน โตหน่อยก็จ่ายเป็นรายสัปดาห์ ถ้าเรียนมัธยมปลายขึ้นไปก็จ่ายเป็นรายเดือน ขาดเหลือก็มาขอเป็นครั้งๆ ไป
ลูกสะใภ้คนแรกของผมเข้ามาได้เงินเดือน 1,000 บาท ทั้งที่เงินเดือนที่ประเทศญี่ปุ่นได้ 1.2 แสนเยน หรือราวๆ 8,000 บาท/เดือน คิมิเอะเป็นคนง่ายๆ ไม่พูดเรื่องเงินทอง ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น หลังแต่งงานใหม่ๆ คิมิเอะช่วยเหลืองานทุกอย่าง ทั้งติดต่อต่างประเทศ และลงไปทำงานกับคนงาน จนดูไม่ออกว่าใครเป็นนายจ้าง ใครเป็นลูกจ้าง ครั้งหนึ่งคนญี่ปุ่นที่ติดต่อด้วยมาหาที่โรงงานย่านคลองเตย เห็นคิมิเอะนั่งทำงานกับคนงานก็ตกใจ แล้วไปพูดในหมู่คนญี่ปุ่นด้วยกันในทำนองว่า “สาวสวยชาวญี่ปุ่นมีหน้าที่การงานดีที่ประเทศญี่ปุ่น แต่มาตกระกำลำบากในเมืองไทย”
ตอนนั้นงานในธุรกิจครอบครัวยังมีไม่มากนัก ภวัฒน์แนะนำให้คิมิเอะไปสอนพิเศษภาษาญี่ปุ่นที่วิทยาลัยเกริกสัปดาห์ละ 2 วัน คิมิเอะนั่งรถสองแถวต่อด้วยรถเมล์ไปสอนที่วิทยาลัยเกริกเป็นประจำกว่า 2 ปี จึงเลิกสอน
ธุรกิจกงสีมีรถกระบะปิกอัพขนส่ง 2 คัน รถเก๋งสำหรับผม 1 คัน และรถเก๋งคันเล็กๆ สำหรับภวัฒน์ เพื่อใช้ติดต่องาน ส่วนคิมิเอะหลังอยู่เมืองไทยได้ 3 ปีกว่า จึงขับรถได้
ตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นไป ครอบครัวผมมีแต่งานมงคล ทุกๆ 2-3 ปี ลูกๆ ทยอยกันแต่งงาน ลูกสาวแต่งงานไปอยู่กับครอบครัวสามี สินสอดทองหมั้นจากฝ่ายชายผมคืนให้หมด พร้อมทั้งให้เงินทองเพิ่มเติมเท่าที่กงสีสามารถให้ได้ ซึ่งแน่นอนฐานะการเงินในแต่ละช่วงไม่เหมือนกัน และลูกสาวที่แต่งออกไปนั้นก็ไปอยู่กับครอบครัวสามี ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โชคชะตาของแต่ละคน แต่ผมเชื่อเสมอว่าโชคชะตาดีมาจากการทำความดีแน่นอน เพียงแต่โชคดีจะมาเร็วหรือช้าแค่นั้นเอง
ครอบครัวผมเป็นกงสี ลูกสาวที่แต่งออกไปแม้อยู่กับครอบครัวอื่นที่เป็นกงสี แต่ผมกับภวัฒน์ยังคงจัดสรรหุ้นในบริษัทให้แต่ละคน ซึ่งทุกคนมีวิถีชีวิตเป็นของตนเอง อย่างพี่น้องของผมรวมทั้งตัวผมด้วย 10 คน ต่างมีวิถีชีวิตของตัวเอง ราวปี 2556 พี่น้อง 10 คน เหลือแค่ 2 คน คือ ผมและพี่ชายคนที่ 3 เท่านั้น ซึ่งอีกไม่นานผมก็เหมือนกับพวกเขา คือ จากโลกนี้ไปเช่นกัน
เรื่องที่สะเทือนใจผมมากที่สุด คือ การจากไปของลูกสาวคนโตในปี 2552 คิดขึ้นมาครั้งใดน้ำตาไหลทุกครั้ง เป็นความรู้สึกเสียใจมาก ลูกสาวผมอายุยังไม่ถึง 60 ปี ก็จากไปแล้ว ลูกสาวคนเล็ก 2 คน คอยปลอบใจผมทุกครั้ง ว่าความตายและการพลัดพรากจากของรักเป็นเรื่องธรรมชาติ เราหนีไม่พ้น ต้องยอมรับความจริงข้อนี้ให้ได้ จิตใจจะได้ไม่ทุกข์มากเกินไป
ในทางศาสนาพุทธ บอกว่า ธรรมดาของชีวิต 5 ประการ ที่จริงแท้และแน่นอนของคนทุกคน คือ
• ทุกคนมีความแก่เป็นธรรมดา
• ทุกคนมีความเจ็บเป็นธรรมดา
• ทุกคนมีความตายเป็นธรรมดา
• ทุกคนมีความพลัดพรากจากของรัก คนรักเป็นธรรมดา
• ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หรือเรียกว่าเป็นกฎแห่งกรรม
สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาของชีวิต ต้องพิจารณาอยู่เนืองๆ จะได้รู้เท่าทัน จะช่วยให้เราปล่อยวางลงได้ ความทุกข์จะค่อยๆ น้อยลง มีจิตใจที่เป็นสุขมากขึ้น นอกจากนี้ลูกชายยังนำแผ่นพระโอวาทท่านอรหันต์จี้กง 27 ข้อ มาให้อ่าน ผมชอบอ่านมาก เพราะคอยเตือนใจผมอยู่เรื่อยๆ ให้เข้าใจธรรมชาติของชีวิต
เราอยู่กันอย่างมีความสุขตามอัตภาพแบบกงสีของเรา เป็นกงสีที่ไม่ได้มีเงินทองมากมายสำหรับนำมาแจกแบบไม่อั้น ถึงผมมีมากมายก็คงไม่แจกซี้ซั้วแบบไม่อั้นแน่นอน ทุกอย่างต้องพอสมควร


