posttoday

ลูกหลานสืบสานธุรกิจ

24 ธันวาคม 2559

ตลอดระยะเวลายาวนานกว่า 30 ปี ที่ผมเพียรพยายามสร้างเนื้อสร้างตัว จนพบความสำเร็จได้

โดย...ซิวซี แซ่ตั้ง

ตลอดระยะเวลายาวนานกว่า 30 ปี ที่ผมเพียรพยายามสร้างเนื้อสร้างตัว จนพบความสำเร็จได้ ผมต้องต่อสู้และทำงานหนักมาตลอด จนกลายเป็นความเคยชิน

แม้ผมจะมีอายุมากขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้ความขยันและไฟในการทำงานของผมลดน้อยลง รู้สึกเหมือนกับว่าการทำงานคือการพักผ่อน และเมื่อผมอายุ 50 กว่า ลูกๆ ก็เตือนให้ผมเตรียมแผนการวางมือจากธุรกิจการงาน

พวกเขาพูดถึงข้าราชการที่เกษียณอายุให้ผมฟัง เขาบอกว่าข้าราชการหรือพนักงานในบริษัททั่วๆ ไป เมื่ออายุ 60 ปี ก็ต้องเกษียณ การเกษียณเพื่อให้คนที่ทำงานมายาวนานได้พักผ่อน เพราะร่างกายและสังขารย่อมเสื่อมถอย และให้คนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำงานแทน พ่อก็ควรเกษียณตัวเอง เมื่ออายุถึง 60 ปี

“พ่อเหนื่อยมามากแล้ว พ่อควรได้พัก แล้วก็หาความสุข ไปท่องเที่ยวดูโลกกว้าง เพื่อเป็นกำไรชีวิต ขณะเดียวกันก็ให้โอกาสลูกๆ ได้พัฒนาทักษะการทำงานให้เก่งขึ้น ยืนอยู่บนขาตัวเองได้ พร้อมจะเป็นหลักของธุรกิจต่อไป”

ลูกๆ พูดกับผมตั้งแต่ตอนที่ผมอายุ 50 กว่า แต่ผมไม่เชื่อและไม่เคยคิดที่จะหยุดพักจากการทำงาน แต่ลักษณะงานที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป เริ่มแรกผมใช้แรงกายทำมาหากิน จนมาเป็นเถ้าแก่ก็ต้องทำเองทุกอย่าง ทั้งผลิต ซื้อ ขาย เก็บเงิน จ่ายเงิน ตลอดจนการมองหาช่องทางทำธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงการต้องหาเงินทุนมาหมุนให้ทัน ตอนนั้นผมใช้ลูกคิดได้คล่องมาก เพราะต้องบวกลบคูณหารอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังต้องเป็นคนเขียนบิลส่งของเอง

ตอนแรกผมเขียนเป็นภาษาจีนบนกระดาษสมุดฉีก ต่อมาเขียนเป็นภาษาไทย ซึ่งผมเขียนไม่เป็น ต้องให้ลูกๆ เขียนให้ จากนั้นเปลี่ยนมาใช้เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องคอมพิวเตอร์ ตามลำดับ ซึ่งงานเอกสารมีความซับซ้อนมากขึ้น คนร่วมทำงานก็มีมาก ระบบระเบียบก็มากขึ้นด้วย

เงินทองที่ผมเคยหยิบจากลิ้นชักใช้จ่ายในธุรกิจหรือส่วนตัวทำไม่ได้ง่ายเหมือนในอดีต เวลาที่ผมต้องการใช้เงินต้องไปเบิกจากพนักงานบัญชี

“เถ้าแก่จะใช้เท่าไหร่บอกด้วยนะคะ จะได้เบิกไว้ให้ แต่ขอให้เซ็นชื่อรับเงินด้วยนะคะ”

ผมยอมรับว่าแรกๆ ผมไม่พอใจเป็นอย่างมาก รำพึงรำพันกับตัวเองว่า “มีอย่างที่ไหน เงินไม่กี่พันบาทผมต้องไปขอเบิกจากลูกน้อง แถมยังให้เซ็นชื่ออีกด้วย”

ผมอึดอัดใจมาก แต่พอนานๆ เข้าก็เริ่มเข้าใจ รู้ว่าคนดูแลบัญชีต้องดูแลเงินทุกบาททุกสตางค์ หายไม่ได้ ซึ่งเป็นงานละเอียดมีความรับผิดชอบสูงมาก ขณะเดียวกันลูกค้าที่เคยใช้ภาษาจีนในการเจรจาซื้อขาย ก็ลดน้อยถอยลง เปลี่ยนมาใช้ภาษาไทยมากขึ้น และเป็นศัพท์เทคนิคจนผมฟังไม่ค่อยเข้าใจ และยิ่งค้าขายกับต่างชาติพูดภาษาอังกฤษอีกด้วยยิ่งไปกันใหญ่

ผมคิดๆ แล้วผมโชคดีมาก ที่มีทั้งลูกชายและลูกสาว เป็นคนดี ซื่อสัตย์ ขยัน และเก่ง ทุกคน ตั้งใจเรียน ไม่เกเร พอถึงวัยมีคู่ครอง แต่ละคนก็มีคู่ครองที่ดี มาช่วยสืบสานธุรกิจของครอบครัว จากลักษณะงานที่แปรเปลี่ยนไป กอปรกับลูกๆ ทำงานกันได้ดีมาก ผมค่อยๆ ผันตัวเองมาดูแลเงินทองของครอบครัวและค่อยๆ วางมือจากธุรกิจของครอบครัวปล่อยให้ลูกๆ บริหารกันเองโดยผมเฝ้าชื่นชมอยู่ห่างๆ

ผมกับลูกๆ ช่วยกันเรียบเรียงเรื่องราวในอดีต ลูกชายคนโตภวัฒน์เรียนไปทำงานไปตั้งแต่อายุแค่ 10 ขวบ (พ.ศ. 2503) จนจบปริญญาตรี ลูกสาวคนโตอมรรัตน์ก็เรียนไปทำงานไป แต่พอจบ ป.7 (พ.ศ. 2509) ก็ต้องหยุดเรียนมาช่วยงานบ้านดูแลน้องๆ 7 คน รวมทั้งจ่ายตลาด เตรียมอาหาร เขียนบิลส่งของ ดูแลเงินสด บันทึกเงินสดเข้าออก ช่วยแบ่งเบาภาระทุกอย่างให้แม่ชิวบ๊วย แม่บ๊วยคิ้ม (วราพิณ) และผม ถ้ามีเวลาว่างก็จะไปทำงานโรงงานทอผ้ากับน้องสาวหารายได้เพิ่มเติม แต่ก็ยังเรียนหนังสือภาคค่ำจนจบ มศ.3 ช่วงนี้ลูกๆ ที่โตหน่อยก็ช่วยกันดูแลบ้าน ทำความสะอาดหรือทำงานต่างๆ ในบ้านเท่าที่จะทำได้

พอลูกสาวคนที่ 2 และ 3 เรียนจบพาณิชย์ (ปวช.) ในปี 2515 ก็เข้ามาทำงานธุรกิจครอบครัว หรือเรียกกันว่าทำงานกับกงสี ในช่วงนั้นธุรกิจลูกกลิ้งยาง ลูกกลิ้งไม้ อุปกรณ์ประมงไปได้ดีมาก ลูกสาวคนโตมาขับรถส่งสินค้าให้ลูกค้า ในช่วงหลังปี 2515 ผมหมดหนี้สินที่ติดพันกันมายาวนานสิบกว่าปี พอจะมีเงินทองเป็นของตัวเองบ้าง ภวัฒน์ก็เข้ามาทำงานกับกงสีแบบเต็มตัวในปี 2517

ในช่วงปี 2517-2519 มีไฟไหม้ใกล้ๆ โรงงานผมถึง 2 ครั้ง บริเวณนี้เป็นที่เช่าทั้งหมด โรงงานต่างๆ ค่อยทยอยย้ายออกไปอยู่ต่างจังหวัด โรงงานของผมก็เช่นกันถูกบังคับให้ย้ายออกภายใน 3 ปี โดยเจ้าของที่ดินเพิ่มค่าเช่าหลายเท่าในเวลาไม่ถึง 3 ปี ผมกับภวัฒน์และเพื่อนบ้านที่เป็นโรงงาน รวมโรงงานผมด้วย 5-6 โรงงาน มาพูดคุยกันจะไปที่ไหนดี สุดท้ายผมและเพื่อนโรงงานอีก 2 โรงงาน ร่วมกันซื้อที่ดินประมาณ 7 ไร่ ที่ถนนเทพารักษ์ จ.สมุทรปราการ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นถนนลูกรังเล็กๆ มีแต่ทุ่งนา เป็นครั้งแรกที่ผมจะมีที่ดินเป็นของตัวเอง โดยซื้อในนามของลูกชายภวัฒน์ เพราะผมเป็นคนต่างด้าวซื้อที่ดินไม่ได้

เงินที่เริ่มสะสมได้ในปี 2515-2518 ต้องนำมาจ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อที่ดินและเตรียมตัวสร้างโรงงานใน 2-3 ปีข้างหน้า และข่าวดีของผมก็คือภวัฒน์จะแต่งงานในปี 2519 กับสาวญี่ปุ่นชื่อคิมิเอะ ภวัฒน์จึงขอซื้อบ้านที่หมู่บ้านทิพวัลเป็นเรือนหอ ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงงานใหม่ที่เราจะสร้าง โดยจ่ายเงินดาวน์บ้าน 1 แสนบาท ส่วนที่เหลือผ่อนจ่ายเดือนละ 6,000 บาท เป็นเวลา 15 ปี โดยกงสีจ่ายเงินผ่อนให้เรื่อยๆ จนครบ

(อ่านต่อฉบับวันเสาร์หน้า)

ข่าวล่าสุด

สยามพิวรรธน์คว้า 2 รางวัลโลก พร้อมเปิด NEXTOPIA สยามพารากอน