หนี้-น้ำมันรุมเร้า ริงกิตวิกฤตหนักหลังต้มยำกุ้ง
โดย...นันทิยา วรเพชรายุทธ
โดย...นันทิยา วรเพชรายุทธ
ช่วงประมาณเดือน ก.ย.ปีที่แล้ว มาเลเซียเพิ่งสร้างความสะท้านให้กับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่เคยผ่านวิกฤตการณ์ค่าเงินเอเชียปี 1997-1998 หรือวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งมาด้วยกัน หลังจากที่เงินริงกิตกลายเป็นสกุลเงินที่มีการอ่อนค่าลงมากที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ และอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 17 ปี
กระนั้น สถานการณ์ก็ได้คลี่คลายลงในเวลาต่อมาพร้อมกับที่เศรษฐกิจในภาพรวมขยายตัวได้ถึง 5% ในปี 2015
ทว่า ปัจจุบันสถานการณ์ความปั่นป่วนของค่าเงินริงกิตได้กลับมาเยือนมาเลเซียอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ค่าเงินริงกิตได้อ่อนค่าลงไปแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง และยังมีแนวโน้มรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศที่ย่ำแย่ลง บวกกับปัจจัยกดดันจากภายนอกที่ผันผวนมากขึ้น จนกลายเป็นสถานการณ์ที่ต้องจับตามองอย่างต่อเนื่องอีกครั้งว่า มาเลเซียจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกครั้งหรือไม่
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ค่าเงินริงกิตของมาเลเซียอ่อนค่าลงไปแตะระดับที่ 4.4805 ริงกิต/เหรียญสหรัฐ หรือระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 1998 ขณะที่ตัวเลขของรอยเตอร์ส ระบุว่า นับตั้งแต่เปิดศักราชปี 2016 มานี้ สกุลเงินริงกิตอ่อนค่าลงไปแล้วเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐประมาณ 4.10% หรือเป็นอันดับ 3 ในตลาดเกิดใหม่เอเชียรองจากจีน และฟิลิปปินส์
หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมส่งสัญญาณเตรียมขึ้นดอกเบี้ยในปี 2017 มากกว่าที่เคยคาดการณ์กันเอาไว้ บรรดาสกุลเงินของประเทศในเอเชียก็พร้อมใจกันอ่อนค่าลงทันทีจากภาวะทุนไหลออก ทว่าบางสกุลเงินกลับไม่อ่อนค่าลงอย่างที่ควร เนื่องจากแรงซื้อกลับเข้ามาของต่างชาติ ซึ่งจุดนี้เองที่ต่างกับมาเลเซีย เพราะนักวิเคราะห์บางสำนัก เช่น โซซิเอเต เจเนราล คาดว่าค่าเงินริงกิตจะยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่องอีกในปีหน้า แม้ว่าราคาน้ำมันโลกจะอยู่ในทิศทางขาขึ้นก็ตาม
สิ่งบ่งชี้ถึงความเปราะบางประการแรกก็คือ ทุนสำรองระหว่างประเทศเดือน พ.ย. ที่ลดลง 5,900 ล้านริงกิต จากเดือนก่อนหน้าลงมาอยู่ที่ 9.64 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่าหนี้สกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นเพียง 1.2 เท่า และสูงกว่าการนำเข้า 8.3 เท่า
จูเลีย โกะ นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารยูโอบีมาเลเซีย ให้มุมมองกับหนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ ว่า ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นทุนสำรองในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และบ่งชี้ถึงสถานการณ์ทุนไหลออกที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ซึ่งในเดือนเดียวกันนี้มีรายงานว่าตลาดหุ้นมีการขายสุทธิไป 3,900 ล้านริงกิตแล้ว
ขณะที่ อัฟฟิน หวาง นักวิเคราะห์จากแคปปิตอล รีเสิร์ช มองว่าทุนสำรองของมาเลเซียจะยังคงเผชิญแรงกดดันหนักต่อเนื่องในเดือน ธ.ค.นี้ ไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2017 เนื่องจากแนวโน้มของทุนไหลออกยาว โดยในตลาดตราสารหนี้นั้นพบว่า ณ สิ้นเดือน พ.ย. มีการเทขายในตลาดตราสารหนี้ไป 1.99 หมื่นล้านริงกิต ในจำนวนนี้เป็นพันธบัตรรัฐบาล 1.15 หมื่นล้านริงกิต
หนึ่งในความเสี่ยงสำคัญที่เร่งทุนไหลออกจากมาเลเซียก็คือ ระดับหนี้สกุลเงินต่างประเทศของมาเลเซียที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจากข้อมูลของรอยเตอร์ส พบว่าต่างชาติมีสัดส่วนการถือครองตราสารหนี้มาเลเซียถึง 40% ของตราสารหนี้ทั้งหมดในประเทศ หรือคิดเป็นวงเงินอย่างน้อย 5.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จึงไม่น่าแปลกใจที่ค่าเงินริงกิตจะมีความอ่อนไหวต่อการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมากที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคนี้
ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดที่เคยสูงถึง 16% ของจีดีพีในปี 2009 ก็กลับร่อยหรอลงจากผลพวงของราคาน้ำมันโลกขาลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2014 ที่กระทบทั้งการส่งออกน้ำมันดิบ ไปจนถึงสินค้าโภคภัณฑ์ตัวอื่นๆ ที่อิงกับราคาน้ำมันดิบเป็นหลัก โดยเฉพาะน้ำมันปาล์มที่เป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกหลักของประเทศ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดอันดับ 1 ของโลก สถานการณ์พลังงานขาลงที่มีมานานกว่า 2 ปี จึงส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของมาเลเซียเกินดุลเหลือเพียง 2% ของจีดีพีในปัจจุบันเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาพื้นฐานอื่นๆ อย่างระดับหนี้ที่เพิ่มขึ้นในหลายด้าน ทั้งหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะของรัฐ โดยหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 87.4% ของจีดีพีปี 2014 ไปอยู่ที่ 89.1% ในปีที่แล้ว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ ขณะที่หนี้สาธารณะนั้นแม้จะยังไม่เกินระดับ 55% ของจีดีพีตามที่กำหนดเพดานเอาไว้ แต่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ก็เตือนว่าความยืดหยุ่นทางการคลังของรัฐบาลมาเลเซียที่จะใช้ในการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจก็เหลืออีกไม่มากนัก เพราะระดับหนี้ในปัจจุบันขยายตัวอยู่ที่ 53% ไปแล้ว
ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมปัญหาทางการเมืองที่ยังสามารถเขย่าความเชื่อมั่นของมาเลเซียได้เป็นระยะๆ เช่น กรณีการทุจริตในกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจวันเอ็มดีบี ที่ยังคงยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
จึงไม่น่าแปลกใจหากธนาคารกลางมาเลเซียจะต้องแทรกแซงมากกว่าแค่การใช้ทุนสำรองพยุงค่าเงิน โดยงัดมาตรการควบคุมเงินทุนไหลออกมาใช้ โดยในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา แบงก์ชาติมาเลเซียได้กดดันผ่านธนาคารพาณิชย์ในประเทศที่รับฝากบอนด์และสินทรัพย์อื่นๆ ให้ธนาคารต่างประเทศ ส่งจดหมายร้องขอความสมัครใจให้ธนาคารพาณิชย์ต่างชาติยุติการซื้อขายค่าเงิน ริงกิตของมาเลเซียในตลาดเงินออฟชอร์ที่ไม่มีการส่งมอบเพื่อสกัดการอ่อนค่าของเงินริงกิตที่ร่วงต่ำสุดในรอบหลายเดือน
สถานการณ์ค่าเงินที่อ่อนค่าลงหนักอีกรอบในครั้งนี้ ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ถูกตีความในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉพาะในภาคการส่งออก ต่างจากกรณีของญี่ปุ่นที่ค่าเงินเยนอ่อนค่ากำลังช่วยพลิกสถานการณ์ในขณะนี้ เพราะเคสของมาเลเซียนั้นสะท้อนถึง “ความเสี่ยง” ที่รออยู่ข้างหน้ามากกว่า “โอกาส”
แชนแนลนิวส์เอเชียได้ยกตัวอย่างของบริษัท ท็อป โกลฟ ผู้ผลิตและส่งออกถุงมือยางรายใหญ่ของโลกที่ให้มุมมองว่า ค่าเงินที่ถูกลงจะช่วยการส่งออกได้มาก เนื่องจากบริษัทมีรายได้ 95% ในรูปของเงินเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ต้นทุนส่วนใหญ่อยู่ในสกุลเงินริงกิต อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวและในภาพรวมของประเทศแล้ว ค่าเงินที่มีเสถียรภาพในระดับที่เหมาะสมน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า และบริษัทเองก็ยังมีต้นทุนการนำเข้าสินค้าบางประเภทในสกุลเงินเหรียญสหรัฐเช่นกัน
อย่างไรก็ดี แม้เงินเหรียญสหรัฐที่มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องยาวในปีหน้า จะยังกดดันค่าเงินของเอเชียต่อไป แต่เป็นที่คาดว่าค่าเงินริงกิตนั้นอาจจะไม่ถึงขั้นอ่อนค่าหนักจนเป็นวิกฤตใหม่อย่างที่กังวล เพราะคาดว่ามาเลเซียน่าจะได้ปัจจัยบวกของทิศทางราคาน้ำมันโลกขาขึ้นมาช่วยหนุนทั้งในด้านราคาน้ำมันดิบและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ท่ามกลางการส่งออกที่จะได้แรงหนุนจากค่าเงินที่อ่อนค่าลงเช่นกัน โดยธนาคารโลกคาดว่าจีดีพีปีหน้าจะขยายตัวได้เล็กน้อยอยู่ที่ 4.3% จากคาดการณ์ของปีนี้ที่ 4.2%
ทว่า หากรัฐบาลมาเลเซียยังวางใจและปล่อยให้ปัญหาพื้นฐานเชิงโครงสร้างต่างๆ ยังเรื้อรังต่อไป ค่าเงินริงกิตก็อาจกลายเป็นคนป่วยแห่งเอเชียที่พร้อมกลับมาเขย่าความเชื่อมั่นได้อีกทุกเมื่อเช่นกัน


