"พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงนำสมัย" ในความทรงจำขององคมนตรี พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์
พระองค์ทรงใส่พระราชหฤทัยในศาสตร์ทุกแขนง เพื่อทรงนำไปใช้ในการครองแผ่นดินให้ประชาชนของพระองค์มีความเป็นอยู่ที่ดีและมีความผาสุก
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
จากหนังสือเรื่อง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับคณะองคมนตรี” ซึ่งจัดพิมพ์เนื่องในโอกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค. 2554 พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ที่ได้ทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
ในวันที่ผมเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ผมรู้สึกประทับใจและตื้นตันใจที่สุดในชีวิต เมื่อมีพระราชดำรัสว่า “ขอบใจที่มาช่วยงาน” อันแสดงถึงพระเมตตาที่พระราชทานแก่ประชาชนทุกคนตลอดมา อีกทั้งยังมีพระราชดำรัสต่อไป มีใจความว่า
งานด้านกฎหมายเป็นงานที่มีความสำคัญ และจำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงานแทบทุกเรื่อง องคมนตรีจึงควรมีความรู้ด้านกฎหมาย แม้จะมิได้เรียนจบด้านกฎหมายมาก็ตาม หลังจากที่ผมได้เข้ารับหน้าที่เป็นองคมนตรี ผมได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่อยู่ในคณะองคมนตรีฝ่ายกฎหมาย อันประกอบด้วยองคมนตรี ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นหัวหน้าองคมนตรี จำรัส เขมะจารุ และองคมนตรี สันติ ทักราล ต่อมาได้มีองคมนตรีฝ่ายกฎหมายเพิ่มอีก 2 ท่าน ได้แก่ องคมนตรี ศุภชัย ภู่งาม และองคมนตรี ชาญชัย ลิขิตจิตถะ
องคมนตรีฝ่ายกฎหมายมีหน้าที่หลักในการถวายความเห็นประกอบพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องต่างๆ อันได้แก่ ร่างกฎหมายที่มีการทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เรื่องที่มีการทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการระดับสูง และกรรมการในองค์กรอิสระตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฎีการ้องทุกข์ในเรื่องต่างๆ ที่มีข้อพิจารณาในด้านกฎหมาย และที่สำคัญคือฎีกาของนักโทษ ที่มีการทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ทุกเรื่องจะต้องผ่านที่ประชุมองคมนตรี
ดังนั้น ในทางปฏิบัติ องคมนตรีฝ่ายกฎหมายจะทำความเห็นเสนอต่อที่ประชุมองคมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ก่อนนำทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในส่วนที่เกี่ยวกับงานด้านกฎหมาย ที่องคมนตรีฝ่ายกฎหมายรับผิดชอบ และถวายความเห็นนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพอย่างล้ำลึกในสาขานิติศาสตร์ รวมทั้งได้ทรงแสดงถึงพระปรีชาสามารถในการพิจารณาปัญหาต่างๆ โดยอยู่ในกรอบของกฎหมายและความเป็นธรรมที่พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพในด้านกฎหมายนั้น
ถ้าได้ศึกษาพระราชประวัติก็จะทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์เพราะสนพระราชหฤทัยด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่เมื่อทรงตัดสินพระราชหฤทัยรับภาระอันหนักของแผ่นดินเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ก็ทรงเปลี่ยนวิชาที่ทรงศึกษาด้านวิทยาศาสตร์มาเป็นนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยพระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศว่า
“ฉันคิดว่าพระเจ้าแผ่นดินที่ทันสมัยนั้น จะต้องมีความรู้กว้างขวาง ตั้งแต่วิทยาศาสตร์ การเมือง นิติศาสตร์ วรรณคดี และศิลปศาสตร์”
แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงใส่พระราชหฤทัยในศาสตร์ทุกแขนง เพื่อทรงนำไปใช้ในการครองแผ่นดินให้ประชาชนของพระองค์มีความเป็นอยู่ที่ดีและมีความผาสุก
“กรณีที่มีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีการ้องทุกข์เรื่องอื่นๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระบรมราชวินิจฉัย โดยทรงยึดถือหลักกฎหมายและความเป็นธรรมเสมอมา”
พระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพด้านกฎหมายของพระองค์ที่แสดงออกนั้น เห็นได้จากหลายกรณี อาทิ มีกรณีหนึ่งที่คณะองคมนตรีฝ่ายกฎหมายเสนอ และคณะองคมนตรีเห็นชอบให้ตั้งข้อสังเกต ประกอบการกราบบังคมทูลพระกรุณา เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งสำคัญตำแหน่งหนึ่ง โดยเห็นว่าผู้ที่ได้รับการเสนอแต่งตั้งนั้น อาจมีคุณสมบัติไม่ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย
เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท มีพระราชกระแสให้สอบถามผู้เสนอขอแต่งตั้งรายนั้นว่า ได้มีการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอแต่งตั้งว่าถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้วหรือไม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพในการแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยดี ต่อมาเมื่อมีการรับรองแล้วก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตามที่เสนอมา ส่วนในกรณีที่มีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีการ้องทุกข์เรื่องอื่นๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระบรมราชวินิจฉัยโดยทรงยึดถือหลักกฎหมายและความเป็นธรรมเสมอมา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ประชาชนชาวไทยยิ่งนัก
สิ่งที่จะเว้นการกล่าวเสียมิได้ในหน้าที่ขององคมนตรีฝ่ายกฎหมายก็คือ การพิจารณาฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษ พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษนี้ มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ ซึ่งเป็นพระราชอำนาจอิสระและเด็ดขาดของพระมหากษัตริย์ หมายความว่า เรื่องนี้ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์และพระราชอัธยาศัย พระองค์ไม่ต้องทรงผูกพันตามความเห็น หรือคำแนะนำของฝ่ายบริหารหรือคณะองคมนตรีแต่อย่างใด
ทว่า ในการใช้พระราชอำนาจดังกล่าว พระองค์ทรงใคร่ครวญอย่างรอบคอบทุกเรื่อง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเสมอมา
ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตประธานองคมนตรี เคยกล่าวในการสัมมนาเกี่ยวกับการประสานงานในกระบวนการยุติธรรมว่า
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระเนตรตรวจสำนวนเองแทบทุกเรื่อง เรารู้ เพราะบางคดีท่านย้อนสำนวนมาให้องคมนตรีพิจารณาอีกครั้ง โดยทรงถามมาว่าข้อนั้นๆ อยู่ตรงไหน เช่น ทรงถามว่าปืนของกลางจับได้เมื่อใด... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงละเอียด ทรงใช้เวลาวินิจฉัยฎีกานักโทษด้วยพระองค์เอง บางเรื่องก็ง่าย เช่น ยาเสพติดให้โทษ แต่คดียากที่ทรงทักท้วงให้พิจารณาอีกครั้งบ่อยๆ คือ คดีประหารชีวิต...”
หลายคนอาจไม่รู้ว่า แม้ขณะประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อรับการถวายการรักษาพระวรกาย พระองค์ท่านก็ยังทรงงานพระบรมราชวินิจฉัยฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษอย่างสม่ำเสมอ และมีพระราชกระแสในฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษตลอดมาไม่ได้ทรงหยุด พระองค์ท่านไม่ได้ทรงรักษาพระองค์เหมือนคนป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวตามโรงพยาบาล แต่ยังคงทรงงานตลอดเวลา เพราะทรงทราบดีว่าทุกคนฝากความหวังไว้ที่พระองค์ท่าน และพระองค์ท่านเองก็ไม่เคยทรงละเลยพระเมตตาที่มีต่อประชาชน
พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ ถือเป็นบทบาทสำคัญยิ่งของพระมหากษัตริย์ในการผดุงความยุติธรรมแก่พสกนิกรผู้ต้องคดีอาญา เพราะการบังคับใช้กฎหมายนั้น บางกรณีมีข้อบกพร่อง มิได้สอดคล้องกับความยุติธรรมทางศีลธรรม หรือความรู้สึกนึกคิดของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกรณีที่กฎหมายลงโทษรุนแรงเกินสมควร และไม่เปิดช่องให้ศาลใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษ แต่ด้วยพระมหากรุณาอาศัยพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ความไม่ยุติธรรมจึงได้รับการแก้ไขเยียวยาและคลี่คลายในที่สุด
เคยมีตัวอย่างกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ส่งสำนวนคดีลงโทษจำคุกตลอดชีวิตไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 และได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลย ความปรากฏต่อมาว่าการพิจารณาของศาลไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงได้มีการเพิกถอนหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด และส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษา เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นผลให้คดีของจำเลย
ผู้นั้นถึงที่สุด จึงได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดฉบับใหม่ ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
ปรากฏว่าระหว่างมีการออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดครั้งแรกและครั้งที่สอง ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษหลายครั้ง การเพิกถอนหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดฉบับแรกและออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดครั้งที่สองทำให้จำเลยเสียสิทธิในการได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาที่ตราขึ้นในห้วงเวลาดังกล่าว ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่จำเลย เมื่อมีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ คณะองคมนตรีจึงเสนอความเห็นให้จำเลยได้รับประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เนื่องจากเป็นความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานอภัยโทษแก่จำเลยผู้นั้น ให้ได้รับความเป็นธรรมโดยการลดโทษให้
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ความผิดในคดียาเสพติดให้โทษ กรณีนำเข้าหรือส่งออกแม้ยาเสพติดมีจำนวนน้อย แต่โทษทางกฎหมายรุนแรง กำหนดโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต กรณีเช่นนี้ ถ้าเป็นผู้มีความประพฤติดีมักได้รับพระราชทานอภัยโทษรวมถึงนักโทษที่มีปัญหาด้านสุขภาพด้วย
'อภัยโทษ' คือพระราชอำนาจอิสระ
คําว่า “พระราชอำนาจ” ในการพระราชทานอภัยโทษนี้ มิได้จำกัดเฉพาะโทษทางอาญาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโทษทางวินัยกรณีอื่นด้วย เช่น ในคราวเกิดวิกฤตการณ์ทางตุลาการเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และมีการกราบบังคมทูลพระกรุณาเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้พิพากษาพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากถูกลงโทษทางวินัยให้ออกจากราชการ พระองค์ท่านได้พระราชทานอภัยโทษลดโทษทางวินัยจากโทษให้ออกเหลือเพียงโทษงดบำเหน็จความชอบ ซึ่งเป็นโทษในสถานเบา ทำให้ผู้พิพากษาเหล่านั้นยังคงรับราชการได้ต่อไป
ในเวลาต่อมา บางท่านได้มีโอกาสเป็นผู้นำในกระบวนการยุติธรรม บางท่านทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระเมตตาธรรมสูง มีพระบรมราชวินิจฉัยฎีกานักโทษด้วยพระเมตตา แม้จะเป็นผู้กระทำความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พระองค์ก็พระราชทานอภัยโทษให้
แม้ว่าพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษตามรัฐธรรมนูญ จะเป็นพระราชอำนาจอันเด็ดขาดและกว้างขวาง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระราชอำนาจภายในกรอบของกฎหมาย และทรงยึดมั่นในความยุติธรรมและเมตตาธรรม เป็นมูลฐานในการมีพระบรมราชวินิจฉัยให้สอดคล้องกับรูปเรื่องในแต่ละเรื่อง ส่งผลให้เกิดประโยชน์แก่พสกนิกรผู้ต้องอาญาแผ่นดินเป็นรายบุคคลโดยตรง รวมทั้งมีพระราชปรารภเกี่ยวกับฎีกาต่างๆ ที่ทูลเกล้าฯ ถวาย อีกทั้งพระราชทานพระราชดำริส่วนพระองค์ในเรื่องเหล่านั้นเป็นครั้งคราว
พระบรมราชวินิจฉัยและพระราชกระแสเหล่านั้น ย่อมแสดงให้เห็นประจักษ์ชัดแจ้งในพระปรีชาสามารถ พระสุขุมคัมภีรภาพ และพระอัจฉริยภาพในเชิงกฎหมายได้เป็นอย่างดี โดยทรงยึดถือความเป็นธรรมเป็นที่ตั้ง สอดคล้องกับพระปฐมบรมราชโองการในคราวที่ทรงเข้าพิธีบรมราชาภิเษกว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และทศพิธราชธรรม ข้อ 10 “อวิโรธนะ” คือ ความเที่ยงธรรม ความหนักแน่น ถือความถูกต้องเที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคำพูด อารมณ์ หรือลาภสักการะใดๆ โดยทรงตั้งมั่นอยู่ในประเพณี ไม่ทรงประพฤติผิดจรรยานุวัตรทั้งทางนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และทรงธำรงรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด
พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และตลอดเวลาที่ผ่านมาทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยพระสุขุมคัมภีรภาพ ทรงห่วงใยความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ พระราชจริยวัตรของพระองค์แสดงให้เห็นถึงพระราชหฤทัยที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย และได้ทรงจรรโลงระบอบประชาธิปไตยให้มีความมั่นคงถาวร ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวไทยทั้งปวง โดยได้ทรงยึดหลักความสามัคคี ความไม่มีอคติ และทางสายกลางในการแก้ไขวิกฤตการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวไปด้วยความสงบสุขเรียบร้อยจนสร้างความประหลาดใจแก่ชาวต่างชาติที่ติดตามข่าวประเทศไทยอยู่เป็นระยะๆ
พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงยึดมั่น ในความยุติธรรม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยึดมั่นในพระปฐมบรมราชโองการและทศพิธราชธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับความเที่ยงธรรมอย่างเคร่งครัดในการทรงงาน หลักดังกล่าวอยู่ในพระราชหฤทัยเสมอมา ไม่ว่าในพระราชจริยวัตรหรือพระบรมราโชวาท พระราชดำรัส และพระราชกระแส ที่พระราชทานแก่นักกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นทนายความ อัยการ ผู้พิพากษา อาจารย์สอนกฎหมาย หรือเป็นผู้ใช้กฎหมายในหน้าที่ต่างๆ
ดังปรากฏในพระราชดำรัสในโอกาสที่ประธานศาลฎีกานำผู้พิพากษาประจำกระทรวงเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ ศาลาดุสิดาลัย วันเสาร์ที่ 21 ธ.ค. 2539 ความตอนหนึ่งว่า
“...สถาบันตุลาการนั้นก็ถือว่าเป็นสถาบันหนึ่งในสามสถาบันการปกครอง คือ สถาบันนิติบัญญัติ บริหาร และยุติธรรม ท่านก็เป็นส่วนหนึ่งในสามสถาบันซึ่งเป็นรากฐานของการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย ถ้าท่านได้ทำด้วยดี ก็หมายความว่าประเทศชาติจะไปรอด เป็นที่น่าสังเกตว่า สถาบันบริหารนั้นต่อเนื่องมาจากสถาบันนิติบัญญัติ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ส่วนสถาบันตุลาการนั้น เป็นสถาบันเอกเทศ และเป็นสถาบันที่ควรจะรักษาความเป็นเอกเทศนั้น เพื่อที่จะให้ความยุติธรรมแก่ประชาชน ในการนี้ก็จะต้องทำงานหลายด้าน ผู้พิพากษานั้นจะต้องเข้าไปตัดสินความต่างๆ ในศาลทุกศาล และให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย จึงเป็นสถาบันที่เป็นที่พึ่งของประชาชน สามารถที่จะคิดว่าประเทศเรามีขื่อมีแป ทำให้สบายใจว่า ถ้ามีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นจะมีผู้ที่จะช่วยให้ได้รับความยุติธรรม ฉะนั้น หน้าที่ของผู้พิพากษาทุกคนมีความสำคัญอย่างยิ่ง และจะไม่มีใครบังคับให้ทำอะไรได้ เพราะว่าแต่ละคนมีความรู้และมีความสุจริต ดังที่ได้กล่าวคำสัตย์...”
ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้พิพากษาเอง พระองค์ท่านได้มีพระราชดำรัสในโอกาสที่ประธานศาลฎีกานำผู้พิพากษาประจำศาลเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ ท้องพระโรงศาลาเริง วังไกลกังวล วันพุธที่ 9 ก.ค. 2546 มีข้อความสำคัญตอนหนึ่งว่า
“ท่านได้เปล่งคำปฏิญาณด้วยความเข้มแข็ง ก็เข้าใจว่าท่านตั้งใจที่จะทำตามคำพูดที่เปล่งออกมานี้ ที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับข้าพเจ้า คือ ท่านได้บอกว่าจะปฏิบัติในพระปรมาภิไธย หมายความว่า ข้าพเจ้า ถ้าได้เห็นท่านทั้งหลายปฏิบัติดีชอบจริงๆ ก็สบายใจ แต่ว่าถ้าสงสัยว่าท่านจะทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้าเดือดร้อน ที่เดือดร้อน เพราะว่าเมื่อปฏิบัติอะไรในพระปรมาภิไธย พูดง่ายๆ ในนามของพระเจ้าอยู่หัว ถ้าทำอะไรที่มิดีมิชอบ พระเจ้าอยู่หัวก็เป็นคนที่ทำมิดีมิชอบฉะนั้น จะต้องขอกำชับอย่างหนักแน่นว่าให้ทำตามคำปฏิญาณ เพราะว่าจะทำให้ข้าพเจ้าเอง ในส่วนตัวและในหน้าที่ เดือดร้อน แล้วก็ถ้าข้าพเจ้าเดือดร้อน ก็คงทำให้คนเดือดร้อนมากเหมือนกัน ก็ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความยุติธรรม...”
ส่วนคำว่า “ยุติธรรม” นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสในโอกาสที่รองประธานศาลฎีกานำผู้พิพากษาเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ครั้งแรก ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันจันทร์ที่ 20 เม.ย. 2530 ไว้ดังนี้
“...คำว่ายุติธรรมนั้น เป็นคำที่แปลว่า การตกลง พิจารณาในทางที่ถูกต้องตามธรรมะ แล้วธรรมะนี้ก็หมายความว่าสิ่งที่ควรจะปฏิบัติให้นำความเจริญแก่มวลมนุษย์ ในการปฏิบัตินี้ก็จะต้องมีความเที่ยงตรง และปราศจากอคติ...”
พระราชดำรัสที่ให้ความสำคัญแก่ความยุติธรรมอย่างน่าสนใจอีกองค์หนึ่งที่พระราชทานในโอกาสที่ประธานศาลฎีกานำผู้พิพากษาประจำกระทรวงเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ ศาลาดุสิดาลัย วันพฤหัสบดีที่ 15 ม.ค. 2541 มีข้อความว่า
“...คำว่ายุติธรรมนี้ ก็เคยได้กล่าวว่าเป็นสิ่งที่มากกว่ากฎหมายด้วยซ้ำ เพราะว่ากฎหมายนั้นก็เป็นการวางกฎระเบียบ เพื่อที่จะให้ปฏิบัติโดยดีโดยชอบ แต่คำว่ายุติธรรมนี้สูงกว่านั้น เพราะว่าแม้จะไม่ได้บัญญัติในข้อบังคับใดๆ ก็ต้องมีความหมายว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกว่าดีก็ต้องกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกว่าชั่วจะต้องงดเว้น
ความยุติธรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถือเป็นเรื่องสำคัญนี้ปรากฏอยู่ในพระราชดำรัสเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติงานแก่บรรดาผู้พิพากษา ในโอกาสที่ประธานศาลฎีกานำผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันพฤหัสบดีที่ 15 พ.ค. 2551 ดังความตอนหนึ่งว่า
“...บ้านเมืองต้องมีผู้พิพากษา บ้านเมืองต้องมีผู้ที่รักษาความยุติธรรมต้องมีศาลเพื่อที่จะรักษาความยุติธรรมนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะว่าในบ้านเมือง ถ้าไม่มีความยุติธรรม บ้านเมืองก็จะล่มจม...”
นอกจากนี้ ได้พระราชทานพระราชดำรัสหลายองค์เป็นแนวทางให้นักกฎหมายได้ตระหนักถึงความยุติธรรม อันเป็นอุดมคติสูงสุดของกระบวนการยุติธรรม ส่วนกฎหมายเป็นเพียงวิถีทาง หรือเครื่องมือนำไปสู่ความยุติธรรมเท่านั้น
ดังนั้น จึงต้องรักษาความยุติธรรมเป็นสำคัญ มิใช่รักษากฎหมายซึ่งเป็นเพียงเครื่องมือในการนำมาซึ่งความยุติธรรม ความยุติธรรมจึงต้องมาก่อนและอยู่เหนือกฎหมาย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ ในวันที่ 5 ธ.ค. 2554 พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมาในประวัติศาสตร์ชาติไทย ตลอดเวลาที่ทรงครองราชย์ ทรงตั้งมั่นในทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ และจักรวรรดิธรรม ที่ทรงใช้ในการคุ้มครองและทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดิน ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทย
ในบรรดาหลักธรรมทั้งหลาย “ความเป็นธรรม” เป็นหลักธรรมหนึ่งที่ทรงยึดถือและให้ความสำคัญมาตลอด ดังที่ทรงแสดงให้ปรากฏในพระราชกรณียกิจ พระบรมราโชวาท พระราชดำรัส และพระราชกระแสในโอกาสต่างๆ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ประชาชนชาวไทย และเป็นแนวทางที่นักกฎหมายและประชาชนพึงระลึกถึงและยึดถือปฏิบัติ ผลสุดท้ายจะนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อยของประเทศอันเป็นประโยชน์สูงสุดแก่แผ่นดิน


