posttoday

เรื่องเล่าจากองคมนตรี "พระมหากษัตริย์ ผู้ให้"

20 พฤศจิกายน 2559

"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอดส่องถึงทุกปัญหาความลำบากของประชาชน ถึงแม้จะเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ เป็นเพียงหมู่บ้านเดียว"

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์  

จากหนังสือเรื่อง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับคณะองคมนตรี” ซึ่งจัดพิมพ์เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค. 2554 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของไทย ถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ที่ได้ทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทไว้อย่างน่าสนใจ

“ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

นี่คือคำถวายสัตย์ปฏิญาณที่ผมได้ถวายต่อเบื้องพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวาระแรกที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผมเป็นองคมนตรี เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2546

ทว่านั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ท่าน เพราะหากนับย้อนไปก่อนหน้าตลอดชีวิตการเป็นทหารของผมก็มีหลายช่วงหลายตอน ที่เคยได้รับพระราชทานพระเมตตาและพระมหา กรุณาธิคุณจากพระองค์ท่านมาแล้ว

“นายทหารและนายตำรวจทุกคนที่อยู่ที่นั่น ได้รับพระราชทานบทเพลงพระราชนิพนธ์ ‘ความฝันอันสูงสุด’ ซึ่งพิมพ์บนกระดาษเคลือบพลาสติกกันน้ำ ขนาดเท่ากับที่จะใส่ไว้ในกระเป๋าอกเสื้อได้ ซึ่งพวกผมได้นำแผ่นบทเพลงนี้ติดตัวไว้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานเรื่อยมา”

ช่วงเวลาแห่งความประทับใจ

ครั้งแรกที่ผมได้เฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ เมื่อเดือน ม.ค. 2508 จากการเฝ้าฯ รับพระราชทานกระบี่พร้อมปริญญาบัตรหลังจบการศึกษาจากโรงเรียนนักเรียนนายร้อย สถานที่คือศาลาว่าการกระทรวงกลาโหมในสมัยนั้นซึ่งเป็นเกียรติยศแก่ตัวผมและวงศ์ตระกูลเป็นอย่างมาก

หลังจากนั้นเมื่อมียศร้อยโทประจำการอยู่ที่กองพันพิเศษ ค่ายสฤษดิ์เสนา จ.พิษณุโลก ผมมีโอกาสได้เฝ้าฯ อีกครั้ง เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2513 โดยพระองค์ท่านเสด็จฯ ไปทรงวางพวงมาลาแก่ พ.อ.จำเนียร มีสง่า เสนาธิการของกองทัพภาคที่ 3 ที่เสียชีวิตจากการถูกผู้ก่อการร้ายลอบยิง (ณ ตอนนั้นประเทศไทยยังมีการต่อสู้กันระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกับกองกำลังทหารในบางพื้นที่) จำได้ว่า นายทหารและนายตำรวจทุกคนที่อยู่ที่นั่น ได้รับพระราชทานบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” ซึ่งพิมพ์บนกระดาษเคลือบพลาสติกกันน้ำขนาดเท่ากับที่จะใส่ไว้ในกระเป๋าอกเสื้อได้ ซึ่งพวกผมได้นำแผ่นบทเพลงนี้ติดตัวไว้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานเรื่อยมา

มีครั้งหนึ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของผมคนหนึ่งที่เป็นทหาร ออกไปปฏิบัติหน้าที่จนเสียชีวิต ผู้ใต้บังคับบัญชาอีกคนที่เป็นตำรวจและเพื่อนกัน ได้หยิบแผ่นบทเพลงนี้ขึ้นมาดูด้วยความซาบซึ้งว่า ถึงแม้เพื่อนจะเสียชีวิต แต่ก็เป็นการเสียชีวิตเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองตามเนื้อหาของเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” ของพระองค์ท่านซึ่งผมเชื่อว่าความรู้สึกนี้คือสิ่งที่อยู่ในใจทหารตำรวจทุกนาย

วันที่ 24 ก.พ. 2533 ผมได้เข้าเฝ้าฯ รับเสด็จพระองค์ท่านอีกครั้ง เนื่องในวันรบพิเศษ โดยพระองค์เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปที่กองพลรบพิเศษที่ 1 จ.ลพบุรี เพื่อทอดพระเนตรการสาธิตขีดความสามารถของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ผมในฐานะผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษที่ 1 ต้องกราบบังคมทูลรายงานต่อเบื้องพระพักตร์ ซึ่งหากถามความรู้สึกบอกได้เลยว่าความตื่นเต้นมีมาก่อนหน้าวันนั้นมากมาย รวมทั้งวินาทีที่เห็นรถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนมาหยุดลงตรงหน้า แต่ทันทีที่พระองค์ท่านและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จลงจากรถยนต์พระที่นั่ง ผมได้เห็นพระองค์ท่านทรงฉลองพระองค์ชุดรบพิเศษ หรือที่ในหมู่ทหารเรียกกันว่า “ชุดหมวกแดง” ก็กลบความตื่นเต้นลงเสียสิ้น

ในวันนั้นนอกจากการกราบบังคมทูลรายงานแล้ว ผมยังได้กราบบังคมทูลชี้แจงการปฏิบัติงานของหน่วยรบพิเศษในระหว่างที่พระองค์ทอดพระเนตรการแสดงและสาธิตของหน่วยฯ อีกหลายชุด รวมทั้งบอร์ดแสดงนิทรรศการของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หลังจากนั้นทั้งสองพระองค์ยังได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ร่วมฉายพระบรมรูปไว้เป็นที่ระลึก ณ สโมสรของหน่วยฯ ด้วย ยังความภาคภูมิใจให้กับผมและหน่วยฯ เป็นอย่างมาก

ทรงพระปรีชาเลิศล้ำ

สิ่งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด คือ แนวทางที่จะแก้ปัญหาให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่ค่อนข้างลำบาก พวกชนกลุ่มน้อย หรือผู้ที่ด้อยโอกาสในทุกๆ ด้าน ทรงพระราชดำริว่า การแก้ไขปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ จะต้องขจัดปัญหาความยากจนให้ได้ พระราชดำรัสที่พระราชทานเสมอ คือ “พวกเขาลำบาก ให้ไปช่วยกันดูแล” พระมหากรุณาธิคุณในข้อนี้จึงเรียกได้ว่าปกแผ่ไปแทบจะทุกพื้นที่ และในหลายๆ ครั้งก็แสดงให้เราได้เห็นถึงพระปรีชาสามารถที่เลิศล้ำหาใดเปรียบ

เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2539 ผมได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านอีกครั้ง ตอนนั้นผมเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่แล้ว พระองค์ท่านและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ไปพระราชทานเพลิงศพ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) ที่เมรุวัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย หลังจากที่พระราชทานเพลิงศพเสร็จแล้ว ขณะเตรียมเสด็จฯ กลับ ก็ได้มีพระราชดำรัสกับผมว่า “ท่านแม่ทัพ ขอให้ไปดูความเดือดร้อนของชาวบ้านบ้านแก่งนาง ที่ภูพานด้วย”

ผมได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรับพระราชดำรัสเอาไว้ ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นเป็นถึงแม่ทัพภาคที่ 2 แล้ว แต่ยังไม่ทราบเลยว่าบ้านแก่งนางอยู่ตรงไหน แต่พระองค์ท่านทรงทราบแล้วว่าที่นั่นมีปัญหา จึงเป็นความรู้สึกที่ทั้งเลื่อมใสและศรัทธาว่า พระองค์ท่านทรงทุ่มเท ทรงใส่พระราชหฤทัยประชาชนอย่างเหลือเกิน

วันนั้นหลังจากส่งเสด็จแล้ว ผมก็รีบหาข้อมูลเพื่อจะเดินทางไปบ้านแก่งนางทันที พบว่าเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่บริเวณตอนบน ต.ห้วยบางทราย จ.มุกดาหาร แต่อยู่ห่างจากตัวเมืองไปอีกประมาณ 130 กิโลเมตร ก่อตั้งขึ้นจากราษฎรกลุ่มที่เคลื่อนย้ายจากท้องที่หลายจังหวัดมารวมกัน รวมทั้งราษฎรกลุ่มชนเผ่าดั้งเดิม เช่น โซ่ข่า กลุ่มนามสกุลชาวดงและภูไท มีจุดเด่นคือ เป็นชุมชนค่อนข้างใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่สีชมพู แต่ราษฎรปฏิเสธไม่เข้าร่วมขบวนการกับ ผกค. (ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์)

เมื่อผมเดินทางไปถึง ก็ได้เข้าไปถามชาวบ้านตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวทางว่า ให้ทหารเข้าไปถามว่าเขามีปัญหาอะไรชาวบ้านบอกว่า เขามีปัญหาขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ในช่วงหน้าแล้ง เหตุเพราะพื้นที่หมู่บ้านมีลักษณะเป็นแอ่งหุบเขา ลำห้วยอยู่ลึกลงไป เวลาหน้าแล้งระดับน้ำจะอยู่ต่ำมาก ทำให้เอาน้ำขึ้นมาใช้ลำบาก

หลังจากปรึกษาหารือกันในหน่วยฯ แล้ว ลงความเห็นว่า ให้นำเครื่องสูบน้ำไฟฟ้าที่เรียกว่า “ไดรโว” ลงไปสูบน้ำขึ้นมาไว้ในถังพัก เพื่อให้ชาวบ้านมาตักไปใช้ เป็นการช่วยให้เขามีความสะดวกสบายมากขึ้นในระดับหนึ่ง ไม่ต้องลงไปหาบหามขึ้นมาให้เป็นที่ลำบาก ยังจำภาพได้ติดตามาจนถึงทุกวันนี้ ชาวบ้านต่งมีสีหน้าแสดงความดีใจเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะเมื่อผมเล่าให้เขาฟังว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยในความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน มีพระราชดำรัสสั่งให้ทหารเข้ามาดูแลและหาทางช่วยกันแก้ไข ครั้งนั้นหลังจากดำเนินการช่วยชาวบ้านเสร็จเรียบร้อย ผมบอกให้พวกเขาหันหน้าไปยังทิศที่ตั้งของกรุงเทพฯ จากนั้นก็บอกให้ทุกคนก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งประดิษฐานไว้ที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน เพื่อให้รู้ซึ้งว่านี่คือพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ได้พระราชทานแก่ชาวบ้านแก่งนาง

ภายหลังเมื่อผมดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ผมได้กลับไปเยี่ยมชาวบ้านที่บ้านแก่งนางอีกครั้ง พบว่าที่นั่นมีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาก กลางเป็นหมู่บ้านขยายที่มีถึง 4 หมู่บ้านในละแวกเดียวกัน แทนที่จะเป็นเพียงหมู่บ้านเดี่ยวเหมือนสมัยก่อน โดยชาวบ้านได้ขยายการทำมาหากินออกไปหลากหลาย เส้นทาง ถนนต่างๆ ก็เข้าถึงซึ่งพอมองย้อนกลับไปเทียบกับภาพในอดีต จึงนับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมมีความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงมีต่อประชาชน

เป็นความรู้สึกที่ตระหนักแน่แก่ใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอดส่องถึงทุกปัญหาความลำบากของประชาชน ถึงแม้จะเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ เป็นเพียงหมู่บ้านเดียว แต่ก็ทรงห่วงใยเท่าเทียมเสมอเหมือนกันหมด

ถวายสัตย์ปฏิญาณรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท

ชั่วชีวิตของผมที่ผ่านมา มีหลายช่วงหลายตอนที่ทำให้ผมได้ตระหนักว่าเป็นชีวิตที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเหลือจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างตอนที่เกษียณจากราชการทหาร ผมไม่ได้นึกว่าจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรี ความตั้งใจของผม ณ ตอนนั้นคือ เมื่อกลับจากพาภรรยาไปพักผ่อนที่ต่างประเทศแล้วผมจะบวช

ปรากฏว่าเมื่อกลับจากต่างประเทศ ผมได้รับทราบว่า พระองค์ท่านทรงพระกรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรี ผมยังจำทุกเหตุการณ์ของวันที่ 24 พ.ย. 2546 ตั้งแต่ท่านประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นำผมเข้าเฝ้าฯ ต่อเบื้องพระพักตร์ได้อย่างแม่นยำ

โดยเฉพาะเมื่อมีพระราชดำรัสสั่งให้ผมทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคง พร้อมกับทรงย้ำว่า “ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ซื่อตรง” แล้วพระราชดำรัสต่อมาก็ทำให้ผมถึงกับรู้สึกตื้อขึ้นมาในอกด้วยความประทับใจ “แล้วจะบวชเมื่อไร” พระราชดำรัสถามสั้นๆ แต่แสดงถึงข้อที่ว่าพระองค์ท่านทรงทราบว่า แต่ละคนที่จะเข้ามาทำงานนั้นมีประวัติ มีภูมิหลังอย่างไร และมีความตั้งใจที่จะทำอะไรต่อไป ณ  วินาทีนั้นผมได้แต่ก้มลงกราบถวายบังคมแทบพระบาท และกราบบังคมทูลตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พรรษาหน้านี้พระพุทธเจ้าข้า”

หากเปรียบกับใครหลายๆ คน ผมเองถือว่าอาจจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นหลายเท่ากว่าคนอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อมองย้อนกลับไปดูที่ภูมิหลังของผม คงเห็นได้ชัดๆ ว่ามีความขัดแย้งทางการเมืองจากเรื่องของคุณพ่อมาอย่างไร และนี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมมีความรู้สึกว่า พระองค์ท่านมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ผมและพี่น้องในตระกูลของผมเป็นอย่างมาก ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผมมาทำหน้าที่เป็นองคมนตรีเพราะถ้าจะพูดให้ตรงๆ ก็คือ จะทรงเลือกคนอื่นก็ได้ แต่นี่พระองค์ท่านทรงเลือกผมซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงพระราชดำริว่า ทรงรับรู้ถึงความตั้งใจในการทำงานและผลงานมากกว่าที่จะคำนึงถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมา

ทุกตารางนิ้วของแผ่นดินไทย ล้วนอยู่ในสายพระเนตร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้จักทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย แผนที่ของพระองค์ท่าน เรียกได้ว่าดีและละเอียดกว่าของทุกๆ คน เพราะทรงบันทึกขึ้นมาจากการเสด็จฯ ด้วยพระองค์เอง แม้แต่กรุงเทพฯ ที่เราคุ้นชินและรู้สึกว่าเป็นพื้นที่ราบเรียบ พระองค์ก็ยังทรงรู้ว่า ตรงไหนเป็นที่ต่ำ ตรงไหนเป็นที่สูง และเพราะเสด็จฯ มาแล้วทุกพื้นที่ ทำให้ปัญหาหนึ่งที่พระองค์ท่านทรงมีความห่วงใยมาก คือปัญหายาเสพติด ทรงพระราชดำริที่จะหาวิธีป้องกันไม่ให้พสกนิกรเฉียดกรายใกล้ความเลวร้ายนี้มาอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 3 มี.ค. 2543 ขณะที่ผมดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ เป็นการส่วนพระองค์ เพื่อกราบบังคมทูลรายงาน เรื่องการหาวิธีป้องกันการนำยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศไทยทางด้านเหนือ พื้นที่เพ่งเล็งได้แก่พื้นที่ตั้งแต่ช่องทางกิ่วผาวอก จ.เชียงใหม่ ไปจนถึง อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน

โดยพระองค์ท่านพระราชทานแนวทางในการสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดนว่าต้องกระทำในลักษณะผสมผสานมีการเคลื่อนไหว ควบคู่ไปกับปฏิบัติการทางจิตวิทยาเพื่อสร้างความใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มหรือสมาคมแม่บ้าน ควรเข้าไปมีบทบาทในการช่วยเหลือแนะแนวทาง แต่ก่อนอื่นจะต้องได้ข้อมูลพื้นที่ปฏิบัติการทั้งหมด รวมทั้งปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของราษฎรมาเสียก่อน

พระองค์ท่านยังพระราชทานแนวทางแก้ไขมาอีกว่า ที่นั่นมีโครงการหลวงในพื้นที่อยู่แล้ว หมู่บ้านที่มีอยู่บริเวณนั้นทั้งหมดก็มี 43 หมู่บ้าน อยากให้นำทั้ง 43 หมู่บ้านนี้ เข้ามารวมอยู่ในแผนงานที่จะเป็นเครือข่ายในการป้องกันการนำยาเสพติดข้ามพรมแดนเข้ามา ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง เพราะทำให้ผมรู้ว่าจะดำเนินการกับภารกิจนี้อย่างไร แนวทางที่พระองค์ท่านได้พระราชทานไว้ สรุปได้ดังนี้

- การสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดนต้องกระทำในลักษณะผสมผสาน มีการเคลื่อนไหวควบคู่ไปกับการปฏิบัติการจิตวิทยา เพื่อสร้างความใกล้ชิด

- จะต้องได้ข้อมูลพื้นที่ปฏิบัติการทั้งหมด รวมทั้งปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของราษฎร

- การปฏิบัติงานจะต้องร่วมกันทุกฝ่าย

พื้นที่เพ่งเล็งในการปฏิบัติงาน ได้แก่ พื้นที่ช่องทางกิ่วผาวอก จ.เชียงใหม่ ต่อเนื่องไปจนถึง อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ทั้งนี้ลักษณะการดำเนินงานมิใช่โครงการใหญ่แต่เป็นงานเล็กๆ เช่น ฝายกั้นน้ำ และใช้ระบบการส่งน้ำด้วยท่อ โดยกลุ่มหรือสมาคมแม่บ้านควรมีบทบาทเข้าไปช่วยเหลือ ตัวอย่างโครงการที่ประสบความสำเร็จในห้วงที่ผ่านมา คือ โครงการห้วยตึงเฒ่า ซึ่งหากจะดำเนินงานต่อราษฎรในพื้นที่สูงสามารถประสานกับ ม.จ.ภีศเดช รัชนี ได้โดยตรง

จากยุทธศาสตร์พระราชทานข้างต้น ทำให้ผมสามารถน้อมนำไปปฏิบัติให้สัมฤทธิผลได้ โดยเริ่มจากการมอบหมายให้กองกำลังนเรศวรและกองกำลังผาเมืองประสานงานและร่วมกันรับผิดชอบ ดำเนินงานในเขต จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้กองทัพภาคที่ 3 ยังส่งชุดปฏิบัติการเข้าพื้นที่อีก 5 ชุด ซึ่งชุดปฏิบัติการเหล่านี้จะคอยทำหน้าที่ประสานงานการช่วยเหลือราษฎร ร่วมกับทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนา 4 ประการ ดังนี้

1.เพื่อให้ความปลอดภัยแก่ราษฎร ตามแนวชายแดน ให้ปราศจากการคุกคามของผู้มีอิทธิพลในท้องที่และกองกำลังต่างชาติ

2.เพื่อให้เป็นหมู่บ้านปลอดยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็น การเสพ การค้า และการร่วมขบวนการ

3.เพื่อให้ราษฎรตามแนวชายแดนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

4.เพื่อให้ราษฎรตามแนวชายแดนมีความรักประเทศไทย มีความเป็นคนไทยมากขึ้น และให้ความร่วมมือกับส่วนราชการในทุกเรื่อง

ปัจจุบันโครงการนี้ก็ยังดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และได้เปลี่ยนชื่อจาก “โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนตามแนวทางพระราชทาน” ที่ใช้เมื่อปี 2543 มาเป็น “โครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่” ซึ่งผมก็ยังคงเดินทางไปกับคณะทำงานตรวจเยี่ยมพื้นที่และติดตามผลการปฏิบัติอยู่เสมอ

เรื่องเล่าจากองคมนตรี "พระมหากษัตริย์ ผู้ให้"

"ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทำ เราอย่าไปคิดแทนเขา"

คําถวายสัตย์ปฏิญาณย้อนกลับเข้ามาดังก้องในห้วงคิดของผมอีกครั้ง

“ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

ผมสัญญากับตัวเองว่า จะซื่อสัตย์ ซื่อตรงกับทุกการกระทำ มิใช่เพียงภาระหน้าที่ แต่รวมถึงทุกเรื่องราวทุกห้วงตอนของการดำเนินชีวิต แม้เมื่อบ้านเมืองเกิดวิกฤตผันผวนกระทั่งผมต้องขอพระราชทานกราบถวายบังคมลาออกจากการเป็นองคมนตรีเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของประเทศ ผมก็ยังยึดมั่นต่อคำสัตย์ปฏิญาณที่ถวายอย่างไม่เสื่อมคลาย

ในช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะเรียกได้ว่าผมได้เห็นถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในส่วนที่คนซึ่งยังไม่ได้ทำหน้าที่เป็นนายกฯ น่าจะไม่มีโอกาสได้สัมผัส ทุกครั้งที่ได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านไม่ว่าจะเป็นการนำบุคคลสำคัญจากต่างประเทศเข้าเฝ้าฯ หรือว่าเข้าเฝ้าฯ เป็นการส่วนพระองค์เพื่อกราบบังคมทูลรายงานการดำเนินการต่างๆ ทำให้ผมได้ประจักษ์แจ้งชัดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถในทุกๆ ด้านอย่างแท้จริง

สิ่งที่พระองค์ท่านพระราชทานมาให้นั้น ไม่ว่าจะเป็นแนวทางพระราชทานพระราชดำรัสเตือน หรือว่าพระราชดำรัสชมเชย กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นายกฯ อย่างผม มีความเชื่อมั่นที่จะทำงานอย่างต่อเนื่องไปได้

ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ท่านพระราชทานพระราชดำรัสแนะนำให้ทำอย่างนี้อย่างนั้น แต่เป็นลักษณะที่ถือว่าพระราชทานพระราชดำรัสแนะนำอย่างจริงๆ เช่น ปีที่สหพันธรัฐรัสเซียมีความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยครบหนึ่งร้อยปี ผมได้มีโอกาสพบกับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งท่านประธานาธิบดีได้ยืนยันที่จะกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทรงเยือนสหพันธรัฐรัสเซีย ในวาระอันเป็นมงคลนี้ และผมก็รับปากว่า จะนำเรื่องนี้ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา

ปรากฏว่า เมื่อผมนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัสแนะนำว่า “การที่จะรักษาความสัมพันธ์กับประเทศที่มีความสัมพันธ์กับเรามาเป็นเวลานานนั้น เป็นสิ่งที่ดี”

นั่นคือพระองค์ท่านทรงเห็นด้วย แต่มีพระราชดำรัสต่อไปว่า พระองค์ท่านเสด็จฯ ไปไม่ได้แต่อยากจะให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นผู้แทนพระองค์ ซึ่งเป็นที่มาของการเสด็จฯ เยือนสหพันธรัฐรัสเซียของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อครั้งครบรอบความสัมพันธ์หนึ่งร้อยปีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหพันธรัฐรัสเซีย พ.ศ. 2550

พระราชประสงค์ข้อนี้ ผมคิดว่า คนไทยทุกคนน่าจะพอทราบอยู่แล้วบ้าง หากได้ติดตามพระราชดำรัสในการเสด็จออกมหาสมาคม วันที่ 4 ธ.ค.ของทุกปี พระองค์ท่านมักพระราชทานแนวทางกว้างๆ แก่ประชาชน มีทั้งพระราชดำรัสแนะนำตักเตือน และพระราชทานกำลังใจ ซึ่งทั้งสามประการนี้ ถ้าใครได้ย้อนกลับไปอ่านพระราชดำรัสที่มีคนตีพิมพ์ให้ดี จะเห็นว่า ล้วนเป็นพระราชดำรัสที่ไม่ได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้า แต่หลั่งไหลออกมาจากน้ำพระราชหฤทัยจริงๆ จึงเป็นที่น่าเสียดายว่า ปัจจุบันกำลังพระวรกายของพระองค์ท่านไม่อำนวย ทำให้ประชาชนไม่ค่อยมีโอกาสได้รับพระราชทานหรือมีโอกาสได้ฟังพระราชดำรัสกันได้บ่อยครั้งเหมือนเมื่อก่อน

พระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม

เมื่อโชคชะตานำพาให้ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว ในใจของผมตอนนั้นคิดว่า เมื่อได้ทำงานเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว ก็คงมีโอกาสได้พัก ผมไม่เคยคิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผมกลับมาเป็นองคมนตรีอีก

วันที่ 8 เม.ย. 2551 ท่านประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้นำผม องคมนตรี ศุภชัย ภู่งาม และองคมนตรี ชาญชัย ลิขิตจิตถะ เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณพร้อมกันสามคน โดยพระองค์ท่านยังคงพระราชทานพระราชดำรัสสั่ง ให้ผมช่วยดูงานด้านความมั่นคงเช่นเดิม ด้วยเหตุว่าทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ท่านอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้ที่ด้อยโอกาส งานในหน้าที่องคมนตรีของผมจึงเป็นไปในลักษณะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกไปเยี่ยมเยียนประชาชนตามภาคต่างๆ โดยเฉพาะถ้าพื้นที่ใดประสบเหตุภัยธรรมชาติ

กำลังใจ คือสิ่งที่พระองค์ท่านทรงเห็นว่า ผู้คนต้องการอย่างยิ่งยวดในยามทุกข์เข็ญ เพราะฉะนั้น หน้าที่ส่วนใหญ่จึงเป็นการไปเพื่อให้กำลังใจข้าราชการในท้องที่กับเยี่ยมเยียนประชาชนที่ประสบปัญหา พร้อมกับนำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้ การเดินทางแต่ละครั้งจะมีคณะแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดีไปคอยช่วยให้บริการด้วย เพราะเป็นที่แน่ชัดว่า เวลาเกิดวิกฤตภัยธรรมชาติเรื่องการป่วยไข้จะต้องตามมา

เวลาออกไปเยี่ยมพื้นที่ประสบภัย แนวทางหนึ่งที่ผมได้จากพระองค์ท่านมาตั้งแต่สมัยรับราชการทหารและนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้คือ การฟังความทุกข์ของประชาชน อย่างที่ผมได้เล่าไว้ในตอนต้น ถึงเรื่องของชาวบ้านบ้านแก่งนาง ผมจะเข้าไปถามหาปัญหาจากเขา ไปรับฟัง รับทราบว่ามีปัญหาอะไร แล้วเบื้องต้นเขาคิดจะแก้ไขปัญหาอย่างไร

เราจะไม่เอาความคิดของเราไปใส่เขา จะฟังเขา แล้วก็ถามเขาก่อน ว่าเขาคิดจะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร หลังจากนั้นจึงค่อยๆ สอดแทรกข้อคิดเห็นของเราเข้าไป และเมื่อชาวบ้านเขาเห็นด้วย เราจึงค่อยดำเนินการ โดยเราอาจจะเป็นผู้ดำเนินการบางส่วน มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปดำเนินการให้บางส่วนจึงเป็นการทำงานร่วมกันของทุกๆ ฝ่าย ไม่ใช่ว่าจะเอาส่วนหนึ่งส่วนใดไปทำให้ แล้วส่วนที่เหลือจะอยู่เฉยๆ ไม่ใช่ และนี่ก็คือหลักที่ได้พระราชทานแนวทางไว้เสมอว่า “ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทำ เราอย่าไปคิดแทนเขา”

และจากการได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ หลายครั้งนี้เอง ที่ทำให้ผมได้รู้ซึ้งถึงความจริงข้อหนึ่ง นั่นคือ ประชาชนส่วนใหญ่มีความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างมากมาย ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีโอกาสได้เฝ้าฯ รับเสด็จ เพราะพระองค์ท่านไม่ได้เสด็จฯ แปรพระราชฐานอย่างเมื่อก่อน แต่ทุกแววตาที่ผมได้สบ ล้วนเปี่ยมไปด้วยรอยระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ผมเชื่อว่าในหัวใจของคนไทยทุกคนแล้ว

พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ “ผู้ให้” อย่างแท้จริง

ข่าวล่าสุด

ธ.ก.ส. เปิด “สินเชื่อบำเหน็จตกทอด” 100% ดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนนาน 40 ปี