posttoday

ศาลอุทธรณ์ถอนคำสั่งปลด"อภิสิทธิ์"พ้นทหาร

18 พฤศจิกายน 2559

ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ถอนคำสั่งปลด'อภิสิทธิ์'พ้นทหาร ชี้คำสั่งทางวินัย ต้องใช้ ขณะยังรับราชการ

ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ถอนคำสั่งปลด'อภิสิทธิ์'พ้นทหาร ชี้คำสั่งทางวินัย ต้องใช้ ขณะยังรับราชการ

นายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทนายความของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลแพ่ง ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม กรณีขอให้ ศาลเพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ให้ ปลดนายอภิสิทธิ์พ้นจากราชการ โดย ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยให้เพิกถอนคำสั่งปลด นายอภิสิทธิ์ เนื่องจากเห็นว่า คำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งทางวินัย ซึ่งจะสามารถใช้ ขณะที่ยังรับราชการอยู่ อย่างไรก็ตาม คดีนี้ ยังไม่ถึงที่สุด พล.อ.อ.สุกำพลยังสามารถยื่นฎีกาได้อีก 

สำหรับคดีนี้ ศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลชั้นต้น ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.58 ว่าคำสั่งของกระทรวงกลาโหมนั้นชอบแล้ว ไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลย เนื่องจากเหตุที่จำเลย ปลดนายอภิสิทธิ์โจทก์ ออกจากราชการ เพราะโจทก์ขาดการตรวจเลือกทหารแล้วนำใบสำคัญ (ใบสด.9) แทนฉบับที่ชำรุดสูญหายอันเป็นเท็จมาแสดงต่อสัสดีจังหวัดนครนายก ทำให้สัสดีจังหวัดนครนายกไม่ทราบความจริงว่าโจทก์ครบเวลาที่จะต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร จึงไม่ได้ระบุสถานะว่าเป็นผู้ขาดการเกณฑ์ทหาร แล้วเป็นเหตุให้สัสดีจังหวัดนครนายกออกใบสำคัญ สด.3 (ใบขึ้นทะเบียนกองประจำการ) ให้แก่โจทก์โดยโจทก์ไม่มีใบสด.41 ซึ่งเป็นเอกสารแสดงว่าได้รับการผ่อนผันกรณีศึกษาที่ต่างประเทศที่ไม่ต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร โจทก์จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและไม่มีคุณสมบัติที่จะบรรจุเข้ารับราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรได้ การสมัครและบรรจุโจทก์เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรกับการแต่งตั้งโจทก์เป็นนายทหารสัญญาบัตรฯ ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหมเป็นการไม่ชอบ คำสั่งของจำเลยที่ให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ซึ่งต่อมานายอภิสิทธิ์ โจทก์ ได้ยื่นอุทธรณ์

ขณะที่ศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ.2521 ม. 4 บัญญัตินิยาม"ข้าราชการทหาร"หมายถึงทหารประจำการ และข้าราชการกลาโหมพลเรือนที่บรรจุในตำแหน่งอัตราทหาร โดย ม.15 บัญญัติว่า วินัยของข้าราชการทหารกองประจำการ และนักเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหมให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร ข้อบังคับและระเบียบแบบแผนที่กระทรวงกลาโหมกำหนด โดยพ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2497 ยังบัญญัติว่า ทหารกองเกินและทหารกองหนุนที่ถูกเรียกเข้ารับราชการ และทหารประจำการต้องอยู่ในวินัยทหาร เหมือนทหารกองประจำการ จึงทำให้เห็นว่าทหารประจำการและทหารกองประจำการเท่านั้นที่ต้องอยู่ในวินัยทหาร และในส่วนของข้อบังคับทหารว่าด้วยการแบ่งประเภทนายทหารสัญญาบัตร โดยม.11 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า นายทหารสัญญาบัตรประจำการ ต้องขึ้นทะเบียนกองประจำการและรับราชการในกองจนครบกำหนดตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่กระทรวงกลาโหมจะสั่งปลดเป็นนายทหารประเภทอื่น หากถูกถอดหรือออกจากยศสัญญาบัตร ก็ให้ปลดพ้นราชการทหารประเภทที่ 2 ขณะที่วรรคสอง บัญญัติว่า การแบ่งประเภทนายทหารสัญญาบัตรนั้นแล้วแต่กระทรวงกลาโหมจะกำหนด จึงทำให้เห็นว่า นายทหารสัญญาบัตรประจำการ เป็นผู้รับราชการทหารตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และอาจถูกสั่งปลดได้เท่านั้น

โดย พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ.2476 ม.7 บัญญัติว่า ทหารผู้ใดกระทำผิดต่อวินัยทหารจะต้องรับทัณฑ์ตามวิธีในพระราชบัญญัติ และอาจถูกปลดจากประจำการ หรือถูกถอดยศทหาร โดยม.10 บัญญัติถึงผู้มีอำนาจที่ลงทัณฑ์ และเทียบชั้นผู้รับทัณฑ์รวม 12 ขั้น ตั้งแต่ รมว.กลาโหม แม่ทัพ ผู้บัญชาการกองพล ผู้บังคับการกองเรือ ผู้บัญชาการกองพลบิน ผู้บังคับกองพัน จนถึงนักเรียนทหาร ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้เป็นนายทหารประทวน รูปแถว ซึ่งทำให้เห็นว่า ทหารที่จะถูกลงโทษทางวินัย ต้องเป็นทหารประจำการ หรือทหารกองประจำการที่รับราชการอยู่

แต่คดีนี้ ขณะที่จำเลย มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนการรับราชการทหารของโจทก์ และมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ ซึ่งโจทก์เป็นนายทหารนอกราชการจึงเป็นกระบวนการลงโทษทางวินัยทหารหลังจากโจทก์พ้นจากราชการแล้วถึง 23 ปีเศษ แม้ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้แต่การพิจารณาและลงโทษข้าราชการทางวินัย ย่อมต้องพิจารณาและลงโทษในขณะที่บุคคลนั้นรับราชการอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการต่อไป ซึ่งหากบุคคลนั้นพ้นจากราชการแล้วย่อมไม่อาจก่อความเสียหายได้อีก

การพิจารณาวินัยทหารและลงโทษทางวินัยทหารกับโจทก์ย้อนหลังให้มีผลขณะที่โจทก์รับราชการอยู่โดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้จึงไม่อาจกระทำได้ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยตอบข้อหารือของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เรื่องดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการทหารที่พ้นราชการด้วยเหตุเกษียณอายุราชการ และมีสิทธิรับบำนาญว่า การปลดข้าราชการทหารออกจากประจำการต้องเป็นข้าราชการทหารที่ประจำการอยู่ หากพ้นราชการแล้วก็ไม่อาจพ้นออกจากประจำการได้โดยสภาพ

ส่วนที่จำเลย อ้างว่า เคยมีการลงโทษทางวินัยข้าราชการทหารหลังจากพ้นราชการไปแล้วตามประกาศกระทรวงกลาโหม และคำสั่งกระทรวงกลาโหมนั้น ศาลอุทธรณ์ เห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย และสั่งพักราชการก่อนพ้นจากราชการ กับเป็นกรณีหนีราชการ รมว.กลาโหม จึงมีคำสั่งลงโทษปลดจากราชการย้อนหลังไปจนถึงวันที่รับราชการวันสุดท้าย ซึ่งคำสั่งเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับและกฎเกณฑ์ที่ถือปฏิบัติแล้ว แตกต่างจากคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการทั้งที่โจทก์ไม่ได้รับราชการแล้ว โดยให้มีผลในวันที่ 2 มิ.ย.31 ซึ่งเป็นวันที่อ้างว่าโจทก์กระทำผิดวินัยทหาร กรณีจึงไม่ได้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับและกฎเกณฑ์ที่ถือปฏิบัติ จึงไม่อาจตีความปิดช่องว่างทางกฎหมายให้เป็นผลร้ายกับโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาและถูกลงโทษทางวินัยตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าได้

ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีอำนาจสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ.2476 ม.7 อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น จึงพิพากษากลับเป็นว่าให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1163/2555 เรื่องให้ปลดนายทหารสัญญาบัตรออกจากราชการ ลงวันที่ 8 พ.ย.55

 

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025