"ฝนหลวง" ฝนของพระราชา 40 ปี 3 หมื่นเที่ยวบินผลิตน้ำให้ราษฎร
14 พ.ย. 2498 เป็นวันที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ประทับเครื่องบินเสด็จฯ ภาคอีสาน ทรงเห็นสภาพความแห้งแล้ง และมีพระราชดำริว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้วิธีทางวิทยาศาสตร์ บังคับให้เมฆตกเป็นฝน
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
14 พ.ย. 2498 หรือเมื่อ 61 ปีก่อน เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ประทับเครื่องบินพระที่นั่งเสด็จฯ ภาคอีสาน เพื่อทรงตรวจเยี่ยมราษฎร และสิ่งที่พระองค์ได้ทอดพระเนตร นั่นคือสภาพความแห้งแล้ง และทรงพระราชดำริว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้วิธีทางวิทยาศาสตร์ บังคับให้เมฆตกเป็นฝน
จึงเป็นที่มาของพระราชกรณียกิจอันสำคัญของพระองค์ และผู้ที่ถวายงานร่วมด้วยคือกองทัพอากาศ ทำให้ท้องฟ้าของเมืองไทยมีฝนที่สามารถบังคับให้ตกได้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงคิดค้นศาสตร์และวิธีการสำหรับทำฝนหลวงจนสำเร็จเป็นรูปธรรมและพระราชทานให้ปวงชนชาวไทย
14 พ.ย. เวียนมาบรรจบอีกครั้งในปี 2559 และวันนี้ก็มีคุณค่าอย่างล้นพ้น เพราะเป็น "วันพระบิดาแห่งฝนหลวง" แต่เป็นปีที่ไม่เหมือนก่อน เพราะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จสวรรคตจากพสกนิกรไป เหลือเพียงความทรงจำและโครงการ พระราชดำริ ตลอดจนโครงการอีกมากมายที่ทรงทำเพื่อประชาชนชาวไทย
พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) จัดพิธีเทิดพระเกียรติและถวายสัตย์ปฏิญาณสืบสานพระราชดำริของหน่วยบินปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพอากาศ
กองทัพอากาศเข้าร่วมโครงการ พระราชดำริฝนหลวงมากว่า 40 ปี พล.อ.อ.จอม ขยายความว่า เนื่องจากเรามีเครื่องบินขนาดใหญ่ สามารถบินสูง และพร้อมที่จะได้รับการดัดแปลงเพื่อใช้ในฝนหลวง เพื่อตอบสนองพระราชดำริอย่างเต็มที่
"และทุกๆ ครั้งเมื่อถึงฤดูทำฝนหลวง พระองค์ท่านจะทรงติดตามความก้าวหน้าทุกวัน ทรงมีข้อเสนอแนะต่อเนื่องตลอดมา เนื่องจากพระองค์ท่านทรงเป็นห่วงปวงชนชาวไทย และอยากให้มีฝนพอเพียง" พล.อ.อ.จอม เล่าถึงความหลัง
ย้อนกลับไปในปี 2515 ได้เกิดสภาวะแห้งแล้งเป็นบริเวณกว้าง รัฐบาลจึงได้มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามแนวทางพระราชดำริ โดยให้กองทัพอากาศสนับสนุนเครื่องบินและเจ้าหน้าที่เข้าร่วมปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนั้น กองทัพอากาศจึงได้จัดส่งเครื่องบินลำเลียงแบบที่ 2 หรือ C-47 จำนวน 1 เครื่อง และเครื่องบินลำเลียงแบบที่ 4 หรือ C-123 จำนวน 1 เครื่อง ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อปฏิบัติการบินทำฝนหลวงครั้งแรกของกองทัพอากาศ
สำหรับเที่ยวบินและพื้นที่ปฏิบัติการฝนหลวงนั้น การปฏิบัติภารกิจของกองทัพอากาศจะขึ้นอยู่กับการร้องขอจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในการกำหนดพื้นที่และปริมาณสารฝนหลวงที่ต้องใช้ ตลอดจนวิเคราะห์สภาพแวดล้อมว่าจะเอื้ออำนวยในการทำฝนหลวงหรือไม่
"การบินทำฝนหลวงเป็นภารกิจที่ต้องใช้ความรู้ ความสามารถเป็นอย่างมาก เนื่องจากปกติแล้วนักบินทุกคนจะต้องฝึกและทำการบินหลีกเลี่ยงจากสภาพอากาศที่แปรปรวน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการบิน แต่การบินทำฝนหลวงจะบินในลักษณะดังกล่าวไม่ได้ นักบินจำเป็นต้องบินเข้าหาเมฆ ซึ่งเป็นการบินที่มีความเสี่ยงอย่างยิ่ง ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่แปรปรวน หรือเข้าใกล้พายุฝนฟ้าคะนองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
ดังนั้น ในการขึ้นบินแต่ละเที่ยวบิน นักบินและเจ้าหน้าที่ต้องวางแผน เตรียมการด้วยความระมัดระวัง ละเอียดรอบคอบอย่างที่สุด โดยใช้ความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ที่มีอยู่ เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจฝนหลวงประสบความสำเร็จและปลอดภัย
พล.อ.อ.จอม กล่าวว่า ภารกิจฝนหลวงถือเป็นภารกิจที่กองทัพอากาศภาคภูมิใจ เนื่องจากได้รับใช้ตามพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 ทั้งนี้ เมื่อครั้งที่ในหลวงทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น ทรงติดตามการทำงานของโครงการฝนหลวงอย่างใกล้ชิด แล้วทรงมีข้อแนะนำกลับมาให้พวกเรา
"กองทัพอากาศผูกพันกับในหลวง เพราะได้ถวายงาน ทั้งฝนหลวงและเครื่องบินพระที่นั่งในแบบต่างๆ ถือว่าเราได้ใกล้ชิดและผูกพันมาก" พล.อ.อ.จอม กล่าว
พล.อ.อ.จอม ทิ้งท้ายว่า เนื่องจากพระองค์ท่านทรงเป็นห่วงปวงชนชาวไทย และอยากให้มีฝนพอเพียง และวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา กองทัพอากาศจัดงานเทิดพระเกียรติพระบิดาแห่งฝนหลวง เพื่อแสดงเจตนารมณ์ว่ากองทัพอากาศตั้งใจสืบสานปฏิญาณตัวจะดำเนินโครงการฝนหลวงต่อไป รวมถึงงานวิจัยพัฒนาที่ทำร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และจะทำอย่างเต็มที่
ภารกิจฝนหลวงของกองทัพอากาศนั้น ปัจจุบันใช้เครื่องบิน 3 แบบ คือ เครื่องบิน Peace Maker Au23 จากฝูง 501 กองบิน 5 ประจวบคีรีขันธ์ และ BT67 จากฝูง 461 พิษณุโลก และเครื่องบินขับไล่ Alpha Jet จากฝูง 231 อุดรธานี ร่วมโครงการฝนหลวง รวมขึ้นบิน 3 หมื่นเที่ยวบิน
ทั้งนี้ แต่ละปีจะมีเครื่องบินขึ้นบิน 700 เที่ยวบิน หรือประมาณปีละ 800 ชั่วโมงบิน และใช้สารทำฝนหลวง 1,000 ตัน/ปี รวมถึงใช้ระบบอัลฟา เจ็ต ยิงพลุไอโอไดด์ ที่ระดับ 2 หมื่นฟุต ปีละ 200 นัด เพื่อสลายพายุลูกเห็บและใช้พลุสารดูดความชื้นอีก 100 นัด/ปี


