ระบบชำระเงิน อิเล็กทรอนิกส์ (1)
โดย...ฤชุกร สิริโยธิน รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
โดย...ฤชุกร สิริโยธิน รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในภาคการเงินและการชำระเงินภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้เราเห็นนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ที่หลากหลาย และมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เปิดโอกาสให้มีผู้ให้บริการทางการเงินที่เป็นผู้เล่นรายใหม่ๆ ในระบบเพิ่มจากธนาคารพาณิชย์ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างกลุ่มผู้ให้บริการที่มิใช่สถาบันการเงิน (ที่เรียกว่า Non-Bank) เช่น ธุรกิจโทรคมนาคม หรือธุรกิจเกิดใหม่ (Start-Up) หันมาให้บริการทางการเงินและการชำระเงินมากขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมทางการเงินของประเทศค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ด้านผู้ใช้บริการของไทยเองก็มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เปิดรับเทคโนโลยีมากขึ้น เห็นได้จากปริมาณการใช้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยเกือบร้อยละ 20 ต่อปี พร้อมกับจำนวนผู้ใช้บริการทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือ Mobile Banking ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมจำนวนประมาณ 4.8 ล้านบัญชี เป็น 12 ล้านบัญชีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการให้บริการระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ผู้ให้บริการสามารถนำเสนอบริการที่มีค่าธรรมเนียมถูกลง ใช้งานง่ายขึ้น และเข้าถึงได้สะดวกมากขึ้น 3 นอกจากนี้หากมองในมุมของระบบเศรษฐกิจแล้ว นวัตกรรมทางการเงินและความก้าวหน้าของการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้การทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจของภาคธุรกิจ ภาครัฐ และประชาชนดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบอย่างมีประสิทธิภาพคล่องตัวขึ้น
ธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้กำหนดนโยบายและกำกับดูแลสถาบันการเงินและผู้ให้บริการระบบการชำระเงิน ได้ดำเนินการหลายๆ ด้านเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางการชำระเงินที่เหมาะสม โดยได้ให้ความสำคัญกับการวางโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งที่เป็นตัวระบบการชำระเงินมาตรฐาน หรือกฎเกณฑ์เพื่อวางรากฐานให้ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถต่อยอดได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
โดยที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายที่สำคัญของประเทศ 5 เรื่อง เพื่อผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
1.การกำหนดนโยบายด้านการชำระเงินผ่าน Payment Systems Roadmap
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้จัดทำแนวนโยบายการพัฒนาระบบการชำระเงินของประเทศ หรือที่เรียกว่า “แผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน” หรือ “Payment Systems Roadmap” ต่อเนื่องมารวม 3 ฉบับ ตั้งแต่แผนฉบับแรกในปี 2545 ซึ่งแต่ละแผนได้มุ่งเน้นการพัฒนาในเรื่องที่แตกต่างกันตามระดับการพัฒนาของประเทศ
แผนฉบับที่ 1 (ปี 2545-2547) แผนแรก มุ่งเน้นวางรากฐานที่สำคัญในระบบการชำระเงินอย่างระบบกลาง เช่น ส่งเสริมให้จัดตั้งบริษัท NITMX มาจาก 4 การพัฒนา ATM Pool และมาตรฐานกลางอย่างมาตรฐานบาร์โค้ดที่ช่วยให้ประชาชนและภาคธุรกิจจ่ายบิลได้สะดวกขึ้น
แผนฉบับที่ 2 (ปี 2550-2553) มุ่งเน้นส่งเสริมการใช้ e-Payment ผ่านความร่วมมือระหว่าง Stakeholder กลุ่มต่างๆ ทั้งภาคธนาคารและภาคธุรกิจ เช่น การพัฒนาระบบการหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็คและ
ระบบการจัดเก็บภาพเช็ค (ICAS) และการส่งเสริมให้มีมาตรฐานกลางข้อความการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (National Payment Message Standard : NPMS) ระหว่างสถาบันการเงินกับภาคธุรกิจ
แผนฉบับที่ 3 ปี 2555-2559 ในปัจจุบันเน้นส่งเสริมและพัฒนาระบบการชำระเงินที่สนับสนุนทุกภาคส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การขยายระบบ ICAS ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ การส่งเสริมให้มีการจัดตั้งสำนักงานระบบการชำระเงิน (Payment Systems Office : PSO) เพื่อให้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน และการกำหนดกรอบเวลาในการปรับเปลี่ยนบัตรเดบิต และบัตรเอทีเอ็มให้เป็นชิปการ์ด (Chip Card) และดำเนินการปรับปรุงเครื่องเอทีเอ็มให้รองรับชิปการ์ด
2.การวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนให้ประเทศก้าวสู่ Digital Economy
ในเรื่องที่สอง ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดทำ “แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบ 5 อิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ” หรือ “National e-Payment Master Plan” ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2558 แผนยุทธศาสตร์ National e-Payment เป็นแนวนโยบายของรัฐบาลในการวางโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงิน มีวัตถุประสงค์ให้คนไทยมีระบบชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Payment ที่ครบวงจรและบูรณาการโครงการมีเป้าหมายในการลดการใช้เงินสดและส่งเสริมการใช้ e-Payment อย่างครบวงจร โดยที่ผ่านมานั้นสังคมไทยคุ้นเคยกับการใช้เงินสดและเช็ค เนื่องจากหยิบง่ายใช้คล่อง แต่ก็มีต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงมาก เช่น การพิมพ์ธนบัตร การจัดการเงินสด การขนส่ง หรือการสำรองธนบัตรในตู้เอทีเอ็ม นโยบายของภาครัฐในการก้าวสู่ Digital Government และ Digital Economy ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ e-Payment ในรูปแบบต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ลดกระบวนการทำงาน และตอบโจทย์ความต้องการของทุกภาคส่วนได้มากยิ่งขึ้น


