posttoday

รถติด แก้ไม่ได้ แก้ไม่ถูก หรือไม่กล้าแก้

07 พฤศจิกายน 2559

เดือน ต.ค.ที่ผ่านมาเป็นช่วงเดือนแห่งความโศกเศร้าของประเทศไทย ฟ้าก็หม่น ฝนก็โปรยปรายอย่างต่อเนื่อง การจราจรในกรุงเทพฯ ก็อลหม่านกันอย่างถึงแก่น ทางผู้เขียนพอดีได้มีโอกาสลี้ภัยรถติดไปต่างประเทศในช่วงหยุดวันปิยมหาราช ถือเป็นการกดปุ่ม “Refresh” ให้ตัวเองกลับมาสดชื่นและดำเนินชีวิตตามหน้าที่ปกติต่อไป แต่ปุ่ม “Refresh” ของผู้เขียนดันต้องมาพังเอาวันสุดท้ายก่อนกลับ เพราะเมืองที่ชื่อว่า “นิวเดลี”

เดือน ต.ค.ที่ผ่านมาเป็นช่วงเดือนแห่งความโศกเศร้าของประเทศไทย ฟ้าก็หม่น ฝนก็โปรยปรายอย่างต่อเนื่อง การจราจรในกรุงเทพฯ ก็อลหม่านกันอย่างถึงแก่น ทางผู้เขียนพอดีได้มีโอกาสลี้ภัยรถติดไปต่างประเทศในช่วงหยุดวันปิยมหาราช ถือเป็นการกดปุ่ม “Refresh” ให้ตัวเองกลับมาสดชื่นและดำเนินชีวิตตามหน้าที่ปกติต่อไป แต่ปุ่ม “Refresh” ของผู้เขียนดันต้องมาพังเอาวันสุดท้ายก่อนกลับ เพราะเมืองที่ชื่อว่า “นิวเดลี”

ถ้าคุณผู้อ่านเคยบ่นกับการจราจรอันแสนสาหัสในกรุงเทพฯ ขอให้ไปนิวเดลีครับ การนั่งรถในนิวเดลีเหมือนกับการทำทุกกิริยาชั้นดีอย่างหนึ่ง จะช่วยให้คุณผู้อ่านเข้าสู่ภาวะปลงได้อย่างรวดเร็วผ่านการขับปาดฉวัดเฉวียน ถนน 3 เลนแต่ขับได้เป็น 5 เลน คน(และวัว)เดินกันขวักไขว่ เสียงแตรกระหึ่มก้อง การขับรถย้อนทางและชนกันเป็นเรื่องปกติ (เหมาะกับแฮชแท็กฮิต #แบบนี้ก็ได้หรอ อย่างแท้จริง) วุ่นวายจนผู้เขียนคิดในใจว่านี่ถนนหรือสนามรบ รถที่ติดระดับที่ผู้เขียนมั่นใจว่า ถ้าคนกรุงเทพฯ ได้มาลองสัมผัสการจราจรที่นี่สักครั้ง คงจะกลับไปอยู่กับการจราจรในกรุงเทพฯ ได้อย่างมีความสุข

เอ๊ะ ประเดี๋ยวก่อน การแก้ปัญหาจราจรโดยการสะกดจิตคนให้ชินกับมันไม่น่าจะใช่ทางออกที่ถูกต้อง ในฐานะที่เรียนเศรษฐศาสตร์มายาวนานประกอบกับผู้เขียนมีคุณพ่อเป็นอดีตนักผังเมือง ผู้เขียนจึงอยากจะแบ่งปันมุมมองในครอบครัวผู้เขียนให้คุณผู้อ่านได้ลองคิดตามดูนะครับ ตามสไตล์ของนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไป ผู้เขียนมองว่าปัญหาการจราจรเป็นเรื่องของอุปสงค์และอุปทานของการใช้ถนนนั่นเอง

ที่ผ่านมา ประเทศไทยพยายามแก้ปัญหาการจราจรผ่านการเพิ่มจำนวนสาธารณูปโภคด้านการคมนาคมขนส่งอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การสร้างถนนบ้าง การสร้างสะพานข้ามแยกบ้าง ทางด่วนยกระดับครอบทับไปบนถนนปกติบ้าง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นการแก้ปัญหาด้านอุปทานทั้งสิ้น ถามว่าช่วยแก้ปัญหาได้หรือไม่ คำตอบก็คงจะช่วยได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็แลกมาด้วยต้นทุนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้รถเพียงขาเดียวของคนในกรุงเทพ ที่เช้าแห่กันวิ่งเข้าเมืองมาทำงาน เย็นแห่กันวิ่งออกนอกเมืองเพื่อกลับบ้าน ทำให้เกิดการใช้ถนนไม่คุ้มค่าเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นอย่างสูง ทั้งฝั่งที่ติดและฝั่งที่ว่าง นี่ยังไม่นับปัญหาสุขภาพของคนกรุงเทพฯ ที่เกิดจากควันรถที่อบอวลอยู่ใต้ถนนยกระดับที่ครอบถนนปกติอยู่ ทำให้อากาศไม่สามารถถ่ายเทได้

สิ่งที่พบคือ ยิ่งมีถนนมากเท่าไหร่ คนก็ยิ่งแห่เข้ามาใช้กันมากขึ้นตามไปด้วยอยู่ดี เนื่องด้วย “ราคา” ของการใช้ถนนมันถูกลง ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีมากของคำพูดสุดคลาสสิกของคุณเซย์ (Say’s Law) ที่ว่า อุปทานสร้างอุปสงค์ของมันเอง (Supply creates its own demand)

คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งขมวดคิ้วนะครับ คืองี้ครับ คุณเซย์ (Jean-Baptiste Say) เป็นนักเศรษฐศาสตร์รุ่นเก๋าที่มีชื่อเสียงมาก เขาพูดเอาไว้อย่างคมคาย สรุปเป็นภาษามนุษย์ได้ว่า “ผลิตของออกมาเถอะ เดี๋ยวก็มีคนต้องการเอง” เขาจะบอกว่า ถ้าผลิตของออกมาไม่มีคนต้องการ เดี๋ยวเดียวราคาของชนิดนั้นก็ตกลง เมื่อของมันถูก คนก็จะต้องการซื้อของนั่นเองนั่นแหละ ฉันใดฉันนั้นกับเรื่องการใช้ถนน ยิ่งสร้างออกมามาก คนก็ยิ่งรู้สึกว่า ต้นทุนของการใช้ถนนมันถูกลง ถนนเยอะขึ้นแล้วรถคงติดน้อยลงกว่าก่อน “เอ้ารออะไรกันละ แห่กันออกมาซื้อรถขับกันเพิ่มดีกว่า” ซึ่งคนที่พร้อมจะเพิ่มปริมาณรถในกรุงเทพฯ นั้นมีมากมายเต็มไปหมด ทั้งคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ อยู่แล้ว และคนต่างจังหวัดที่พร้อมจะเข้ามากรุงเทพฯ สรุปความหนาแน่นของรถบนท้องถนนก็ไม่เบาบางลงสักที รถติดยังไงก็ติดอย่างงั้น

ถ้าแก้ปัญหาทางด้านอุปทานแล้วไม่ได้ผล คำตอบน่าจะอยู่ที่การแก้ทางด้านอุปสงค์ ทำอย่างไรถึงจะลดปริมาณความต้องการใช้รถยนต์บนท้องถนนได้ มองย้อนอดีตไป รัฐบาลเก่าๆ ก็พยายามออกมาตรการต่างๆ ออกมาให้เห็นกันพอสมควร อันดับแรกคือการเก็บภาษีสารพัดภาษีกับรถยนต์จนแพงลิบลับของประเทศไทย คุณผู้อ่านรู้มั้ยว่า ราคารถยนต์นำเข้าที่เราๆ ซื้อกันอยู่ในประเทศไทยนั้น เราจ่ายเป็นค่าภาษีต่างๆ รวมกว่า 200-300 เปอร์เซ็นต์

จ่ายแพงขนาดนี้คนไทยก็ยังสู้ โดยการที่เก็บหอมรอมริบ ลดการใช้จ่ายอย่างอื่นลง เอามาจ่ายค่ารถอันแสนแพงเพื่อไปขับบนถนนที่แสนติด เหตุผลก็คงเพราะคนในกรุงเทพฯ รู้สึกว่าตนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขับรถ เพราะระบบขนส่งมวลชนไม่สะดวกพอ อันดับแรกสุดเลยคือ ระบบรถเมล์บ้านเรามันลำบากและยุ่งเหยิงมากจริงๆ รถก็สภาพไม่ค่อยดี เบียดก็เบียด ขับรถก็ฉวัดเฉวียนจนเป็นที่ลือเลื่อง แล้วที่สำคัญคือรถก็ติดอยู่ดีเพราะใช้ถนนร่วมกับรถยนต์จำนวนมหาศาล แถมมีอยู่ช่วงหนึ่งทาง ขสมก.เรียกร้องให้ขึ้นค่าโดยสารเพราะขาดทุนหนัก (สินค้าสาธารณะแบบนี้รัฐบาลต้องยอมขาดทุนสิถึงจะถูกต้อง) แล้วใครจะอยากนั่งรถเมล์ละครับ

ในอดีตเคยมีนโยบายทางเดินเฉพาะรถเมล์ (Bus lane) ซึ่งผู้เขียนเห็นชอบด้วย เพราะเป็นการสร้างแรงจูงใจแบบ 2 เด้ง ให้คนเปลี่ยนใจมาใช้รถเมล์ เด้งแรกคือรถเมล์วิ่งฉิว ส่วนเด้งต่อมาคือรถยนต์ติดหฤโหดเพราะถนนหายไป 1 เลน แต่รัฐบาลดำเนินการได้ไม่นานก็ต้องยกเลิกไป เพราะจิตไม่แข็งพอจะทนแรงต้านจากประชาชนในระยะสั้นได้ (จุดบอดหนึ่งของสังคมประชาธิปไตย)

ปัจจุบันระบบขนส่งที่เริ่มมีการพัฒนาอย่างจริงจังมากขึ้นทั้งรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน ซึ่งในอนาคตเมื่อเครือข่ายรถไฟฟ้าก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ การเดินทางโดยรถไฟที่ผู้โดยสารสามารถคำนวณเวลาการเดินทางได้อย่างแน่นอนและทั่วถึงทุกพื้นที่ น่าจะสร้างแรงจูงใจให้คนลดการใช้รถยนต์บนท้องถนนลงและแก้ปัญหารถติดได้ ผู้เขียนเองก็หวังลึกๆ เช่นนั้น แม้ว่าปรายตาไปดูตัวอย่างอย่างกรุงนิวเดลีที่มีระบบรถไฟฟ้าครอบคลุมพอสมควรแต่รถก็ยังติดมหาศาล ความหวังของผู้เขียนก็ดูจะน้อยนิดเหลือเกิน กลัวว่าอุปทานมันจะสร้างอุปสงค์ของมันเองอีกอย่างต่อเนื่อง

แล้วจะทำยังไงดี คุณพ่อนักผังเมืองของผู้เขียนตอบไว้สั้นๆ ว่า “กรุงเทพฯ ใหญ่ไป แค่เอาคนออกก็จบ” ถูกต้องครับ ปัญหารถติดเกิดจากการวางผังประเทศที่ผิดพลาด ซึ่งแก้ได้แน่นอน แต่จะกล้าแก้รึเปล่าเท่านั้นเอง จะแก้อย่างไรนั้น ไว้โอกาสหน้าผู้เขียนจะมาเสนอรายละเอียดให้ฟังครับ

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025