posttoday

‘ภูพาน’ ต้นแบบพัฒนาอีสาน

30 ตุลาคม 2559

จากการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรืออีสาน เมื่อปี 2498

โดย...จะเรียม สำรวจ/จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

จากการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรืออีสาน เมื่อปี 2498 ทำให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงทราบถึงความเดือดร้อนของราษฎรในภาคอีสาน เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคอีสานในขณะนั้นค่อนข้างทุรกันดารและจากปัญหาในหลายๆ อย่าง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการให้สร้างพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ขึ้นที่ จ.สกลนคร เพื่อเป็นที่ประทับเวลาแปรพระราชฐานและทรงงาน

แต่ก่อนที่จะก่อสร้างพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการให้สร้างแหล่งน้ำบนภูเขาก่อน ด้วยการสร้างลานหินเพื่อกักเก็บน้ำไว้บนเทือกเขาภูพานในปี 2517 หลังจากนั้นปี 2518 จึงได้มีการสร้างพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ขึ้น โดยมีพระตำหนักปีกไม้รูปแบบล็อกเดขิน เป็นพระตำหนักที่ประทับหลังแรก

อนันตสิทธิ์ ซามาตย์ ผู้อำนวยการ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ กล่าวว่า อาคารที่พักที่สร้างภายในพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงคิดธีมในการก่อสร้างแบบ “ประหยัด เรียบง่าย ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะความตั้งใจของพระองค์ท่านในการทรงให้สร้างพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ คือ การปลูกป่า เนื่องจากที่ดินผืนนี้เดิมทีเป็นป่าหัวโล้น พระองค์ท่านทรงอยากจะฟื้นฟูป่า ด้วยการสร้างพระตำหนักเพื่อปลูกป่าและทรงศึกษาระบบนิเวศทางธรรมชาติ

‘ภูพาน’ ต้นแบบพัฒนาอีสาน

 

ด้วยพระราชปณิธานดังกล่าว พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์จึงเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ ซึ่งจะมีทั้งในส่วนของไม้ที่หาได้ตามทั่วไปและไม้ที่หายาก โดยหลังจากฟื้นฟูสภาพป่าบนเทือกเขาภูพานให้กลับมาฟื้นคืนชีวิตได้อีกครั้ง ก็ได้มีการใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นต้นแบบในการพัฒนาพื้นที่ในจังหวัดอื่นๆ ของภาคอีสาน ซึ่งต่อมาในปี 2525 ได้มีการก่อตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้น เพื่อดำเนินงานในด้านชลประทาน งานศึกษาและพัฒนาเกษตรกรรม งานศึกษาและพัฒนาป่าไม้อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ที่ทรุดโทรม งานส่งเสริมและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการประมง งานศึกษาและพัฒนาด้านปศุสัตว์ งานศึกษาและพัฒนาปรับปรุงบำรุงดิน อนุรักษ์ดิน และน้ำ งานส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครัวเรือน งานส่งเสริมการเกษตรด้วยการนำความรู้มาเผยแพร่ให้แก่เกษตรกร งานศึกษาและพัฒนาหมู่บ้านตัวอย่างจัดระเบียบชุมชนและพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมไปถึงงานฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เกษตรกร

แนวทางการดำเนินงานดังกล่าวนำมาซึ่งความกินดีอยู่ดีของราษฎรใน จ.สกลนคร และเป็นต้นแบบในการพัฒนาภาคอีสาน ซึ่งความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าวได้นำมาขยายต่อซึ่งโครงการส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

อำนาจ หมายยอดกลาง ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาของชาวบ้าน โครงการส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา กล่าวว่า หลังจากคนไทยมีกระแสความสนใจตามรอยโครงการพระราชดำริมากขึ้น โครงการก็เตรียมความพร้อมรองรับไว้แล้ว โดยเชื่อว่าศักยภาพที่มีรองรับได้ อย่างไรก็ตามจะไม่เน้นรองรับคนเข้ามาในเชิงปริมาณเป็นหลัก จะไม่ทำให้เติบโตอย่างบุ่มบ่ามเพราะตระหนักเสมอว่าโครงการนี้ไม่ได้ทำเพื่อธุรกิจ แต่ทำเพื่อให้ชาวบ้านอยู่ได้ เผยแพร่ความรู้สู่ผู้ที่ต้องการ โดยผู้ที่สนใจติดต่อที่ 08-1966-4247

‘ภูพาน’ ต้นแบบพัฒนาอีสาน

 

สำหรับโครงการส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษฯ นี้ เกิดขึ้นจากผมเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2537 เพราะมีความเชื่อและศรัทธาว่าเราสามารถทำกสิกรรมไม่ใช้สารเคมีได้ เพราะป่าเขาก็เติบโตงดงามได้โดยไม่ต้องมีใครนำปุ๋ยเคมีไปใส่ โดยได้เลือกพื้นที่ อ.วังน้ำเขียว ซึ่งมี 4 ตำบลอยู่บนเขา ใช้พื้นที่ 30 ไร่ ปลูกป่าตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือ ปลูกไม้ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง นำพืชเมืองหนาวมาทดลองปลูก และเลือกผักเพราะเป็นพืชอายุสั้น คนบริโภคทุกวัน

ระยะแรกมีคนเข้าร่วมกลุ่มไม่มาก กระทั่งรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มาจัดประชุม ครม.สัญจรที่วังน้ำเขียว ทำให้คนรู้จักมากขึ้น จากนั้นจึงนำโครงการนี้เสนอผ่าน อ.วังน้ำเขียวไปยังมูลนิธิชัยพัฒนา เพราะอยากพัฒนาโครงการนี้ต่อตามหลักของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมัยนั้น สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาและเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) จากนั้นไม่นานมีข้าราชการใน กปร. มาที่วังน้ำเขียว มาเห็นว่าในโครงการมีการทำน้ำหมักชีวภาพ แปลงผักไร้สารเคมี เมื่อกลับไปไม่นานก็มีหนังสือจากสำนักราชเลขาธิการรับกลุ่มส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษไว้ภายใต้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

‘ภูพาน’ ต้นแบบพัฒนาอีสาน

 

อำนาจ กล่าวว่า สิ่งที่ผู้เข้าชมโครงการนี้จะได้จากการมาดูงานที่นี่คือ ได้ความรู้เรื่องการทำกสิกรรมที่ไม่ใช้สารเคมีเรียนรู้เกี่ยวกับสภาพดินต่างๆ การทำน้ำหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ วิธีปลูกผัก การทำสบู่ เป็นต้น โดยระยะเวลาดูงานมีทั้งแบบไปเช้าเย็นกลับ พักค้างคืน 3-5 วัน และแบบใหม่ที่กำลังจะเริ่มเร็วๆ นี้ คือหลักสูตร 1 เดือน

“ถ้าคนทั่วไปสนใจมาก็ติดต่อมาก่อน ควรรวมกัน 10-15 คนมา ถ้ามาเป็นคณะองค์กรเป็นหลัก 100 คนก็รับได้ โดยค่าใช้จ่ายอยู่ที่คณะละ 3,000 บาท ค่าอาหาร 70 บาท/มื้อ/หัว เป็นอาหารจากผักปลอดสารพิษของที่นี่ ส่วนกรณีนอนค้างคืนก็จะมีที่พักให้เลือกทั้งแบบนอนรวมและนอนแยก สามารถโทรศัพท์มาคุยรายละเอียดได้ โดยทุกอย่างจะต้องติดต่อก่อนล่วงหน้า ไม่สามารถไปที่หน้าโครงการได้เลย ขณะที่หากมาศึกษาดูงานที่โครงการนี้แล้ว ก็สามารถไปเที่ยวต่อที่ผาเก็บตะวันได้ และหากต้องการไปดูงานกลุ่มทำเห็ดที่อยู่ใกล้เคียงก็มีให้เลือกหลายกลุ่ม” อำนาจ กล่าว

‘ภูพาน’ ต้นแบบพัฒนาอีสาน

 

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68