สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง โครงการหลวงแห่งแรกของไทย

โดย...พีรดา ปราศรีวงศ์

เมื่อลมหนาวพัดโชย สิ่งแรกที่คนไทยส่วนใหญ่นึกถึงในอันดับต้นๆ คือการแพ็กกระเป๋าเดินทางแอ่วเมืองเหนือเพื่อสัมผัสบรรยากาศที่หนาวเย็น สูดอากาศบริสุทธิ์ให้ฉ่ำปอดสมกับการรอคอย พื้นที่ภูเขา ยอดดอยจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่คนไทยและชาวต่างชาติปักหมุดใช้เป็นสถานที่พักผ่อน

เช่นเดียวกับสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง นักท่องเที่ยวแออัดตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย.-ก.พ.ของทุกปี หากย้อนเวลาเมื่อ 46 ปี นับจากปี 2513 พื้นที่แห่งนี้เป็นภูเขาฝิ่นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย แต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงพลิกฟื้นให้เป็นสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ให้คนในพื้นที่ได้มีอาชีพทำกิน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม สร้างรายได้หมุนเวียนกลับสู่ชุมชน และนับเป็นโครงการหลวงแห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วย

จารุวรรณ ยิ้มหิ้น นักประชาสัมพันธ์สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เล่าว่า นักท่องเที่ยวคนไทยนิยมเดินทางท่องเที่ยวอ่างขางจะกระจุกตัวเดินทางเข้าชมสถานีอย่างหนาแน่นในช่วงส่งท้ายปลายปี ตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.-1 ม.ค.ของทุกปี เพราะเป็นวันหยุดยาว โดยมีปริมาณนักท่องเที่ยวเต็มกำลังการรองรับเฉลี่ย 9,000-1 หมื่นคน/วัน

ทั้งนี้ การเข้าส่วนหนึ่งของ 70 เส้นทางตามรอยพระบาท เชื่อว่าจะช่วยกระจายตัวให้นักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เพราะทางสถานีได้จัดกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การปั่นจักรยานดูนกหลากหลายพันธุ์ การ ขี่ล่อชื่นชมธรรมชาติ เดินศึกษาธรรมชาติที่แปลงปลูกป่า

ปัจจุบันสถานีเกษตรหลวงอ่างขางมีห้องพักจำนวน 41 หลัง ยังไม่มีแผนขยายเพิ่มเติม พร้อมจัดพื้นที่กางเต็นท์ ซึ่งสามารถรองรับการตั้งเต็นท์ได้กว่า 200 หลัง โดยในปีนี้นักท่องเที่ยว
คนไทยได้จองห้องพักล่วงหน้า ล่าสุดห้องพักถูกจองเต็มตั้งแต่เดือนนี้-ปลายเดือน ม.ค. 2560

“สถานีต้องการให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวกระจายตัวได้ตลอดทั้งปี หากเป็นช่วงวันธรรมดาหรือฤดูกาลอื่น มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่เพียง 1,000-2,000 คนเท่านั้น” จารุวรรณ กล่าว

นอกจากนี้ ภายในสถานีได้จัด โซนการท่องเที่ยว อย่าง “สวนสมเด็จ” เป็นแหล่งรวมซากุระเมืองไทยที่มี ความสวยงามไม่แพ้ต้นตำรับญี่ปุ่น “สวนหอม” แหล่งรวมพันธุ์ไม้หอมทั้งในและต่างประเทศ “สวนคำดอย” เป็นจุดศูนย์รวมดอกกุหลาบพันปีนำเข้า และดอกไม้เมืองหนาวให้ชื่นชมความสวยงามและความหอมของกลิ่นดอกไม้

ตลอดปีหน้าสามารถวางแผนเที่ยวสถานีเกษตรหลวงอ่างขางได้ โดยเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 06.00-18.00 น. ไม่เว้นวันหยุดราชการ ด้านการเดินทางสามารถเดินทางจากเชียงใหม่ ใช้ทางหลวงหมายเลข 107 (เชียงใหม่-ฝาง) ถึง ต.เมืองงาย เลี้ยวเข้าสู่ทางหลวง 1178 ผ่านบ้านอรุโณทัยไปยังดอยอ่างขาง

เส้นทางการท่องเที่ยวภาคเหนือยังมีอีกมากมายรอการค้นหา และ สถานที่ท่องเที่ยวอีกหนึ่งแห่งที่ต้องแวะเมื่อมาเยือน จ.เชียงใหม่ คือ ศูนย์ วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) เป็นจุดชมต้นนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทย พื้นที่ศูนย์แห่งนี้สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,100 เมตร ทำให้ดอกไม้ สวนไม้ นานาพรรณที่ทำการเพาะปลูกและวิจัยได้รับอากาศหนาวเย็นผลิบานรอการมาเยือนของนักท่องเที่ยว

ภาสกร สุนทรเกษมสุข นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ หัวหน้าฝ่ายขุนวาง เล่าว่า พื้นที่ของโครงการเป็นแหล่งเพาะปลูกและวิจัยพืชพันธุ์นานาชนิดและผลไม้เมืองหนาว เช่น พลัม สาลี่ แมคคาเดเมีย เกาลัดจีน และมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าชมได้ โดยไม่ต้องกระจุกตัวเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ได้รวบรวมภาพถ่ายที่พระองค์ท่านทรงงานเริ่มพลิกฟื้นพื้นที่แห่งนี้ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. 2523 พร้อมฟื้นฟูสถานที่รับเสด็จเมื่อท่านมาเยือน เพื่อเปิดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เข้าชม ระหว่างวันที่ 2-4 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ เพื่อร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ มีบ้านพักแบ่งตามขนาด เริ่มตั้งแต่บ้านขนาดเล็กมี 4 หลัง พักได้ 3 คน/หลัง บ้านพักขนาดกลาง 5 หลัง พักได้ 6 คน/หลัง บ้านพักขนาดใหญ่ 1 หลัง พักได้ 10 ท่าน และบ้านรวมแยกพื้นที่ชายหญิง พักได้อีก 40 คน รวมถึงพื้นที่กางเต็นท์ 20-30 หลัง ซึ่งในอนาคตมีแผนก่อสร้างบ้านพักเพิ่มเติม รวมถึงการสร้างห้องประชุมสัมมนา (ไมซ์) ในอนาคต

สำหรับการเดินทางเข้าศูนย์วิจัยตั้งอยู่ที่ หมู่ 12 ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ เปิดเข้าชมทุกวันตั้งแต่ 08.00-16.00 น. สามารถเดินทาง เส้นทางหลวงหมายเลข 1009 เลี้ยวขวาที่สามแยกบริเวณขุนกลาง ขับตรงไปอีก 18 กิโลเมตร ก็จะถึงขุนวาง

ทั้งสองเส้นทางเป็นเพียงตัวอย่างโครงการพระราชดำริ เฉพาะในภาคเหนือก็ยังมีอีกหลายแห่งที่รอการไปเยือน