ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) สนับสนุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
โดย...บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
โดย...บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. … เพิ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อตราเป็นกฎหมายต่อไป โดย พ.ร.บ.ฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) หรือ EEC ที่รัฐบาลคาดหมายว่าจะเข้ามาช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยให้มีความทันสมัย สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และทำให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง
EEC ตั้งอยู่ในเขตแดน 3 จังหวัด คือ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เป็นการต่อยอดจากอีสเทิร์นซีบอร์ดเป็นซูเปอร์อีสเทิร์นซีบอร์ด เน้นการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่เรียกว่า First S-Curve และ New S-Curve สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 และยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่เรียกว่า 2nd Wave S-Curve ที่ต้องได้รับการปรับปรุงและนำเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์มาใช้เพื่อให้อุตสาหกรรมสามารถเติบโตได้ต่อไป
การเตรียมความพร้อมของภาครัฐเพื่อรองรับ EEC แบ่งได้เป็น 3 ด้าน คือ
1) ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ (Hard Infrastructure) ภาครัฐมีแผนการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2560-2564) มูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท โดยมุ่งพัฒนาและเชื่อมโยงการขนส่งในแต่ละโหมดเพื่อให้การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบไม่ให้สะดุด รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเดิมให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น เช่น ท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และเปิดให้เป็นศูนย์ซ่อมอากาศยาน และท่าเรือจุกเสม็ด เพื่อการท่องเที่ยวทางเรือสำราญ เป็นต้น ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า เป็นแผนที่ค่อนข้างมีความชัดเจน และหากการพัฒนาสำเร็จตามแผนที่วางไว้จะช่วยให้ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมใน EEC เชื่อมโยงกันได้มากขึ้น เกิดการพัฒนาเมืองเพื่อรองรับจำนวนแรงงานที่จะเพิ่มขึ้น รวมไปถึงรายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
2) ด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านกฎหมายกฎระเบียบ มีร่าง พ.ร.บ.พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเป็นกฎหมายหลัก บริหารงานโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ทำให้การดำเนินงานใน EEC เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคณะกรรมการจะเป็นหน่วยงานเดียวที่มีอำนาจในการบริหาร EEC ทำให้เกิดความชัดเจนและคล่องตัวในการปฏิบัติงาน และการจัดตั้งศูนย์ดำเนินการแบบ One Stop Services จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการต่างๆ ได้
3) ด้านสิทธิประโยชน์ที่ให้แก่นักลงทุนโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ พบว่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ EEC มีมากกว่าของประเทศอื่นๆ และมีข้อจำกัดน้อยกว่า รวมไปถึงสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษีอีกหลายประการ นับว่าเป็นข้อได้เปรียบของไทยที่สามารถดึงดูดนักลงทุนได้
อย่างไรก็ดี สิทธิประโยชน์ของบีโอไอยังมีความไม่ชัดเจนในเรื่องขอบเขตและเงื่อนไขการได้รับสิทธิประโยชน์ โดยที่ EEC ไม่ได้ระบุว่าจะส่งเสริมเฉพาะ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายเท่านั้นหรือจะให้สิทธิประโยชน์แก่การลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย หากเป็นการลงทุนในพื้นที่ EEC และยังไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า EEC มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ใดบ้างใน 3 จังหวัดดังนั้นหากบีโอไอต้องการให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนใน EEC อาจต้องกำหนดขอบเขตและเงื่อนไขของสิทธิประโยชน์ที่ให้แก่นักลงทุนใน EEC ให้ชัดเจนว่า EEC จะส่งเสริมอุตสาหกรรมประเภทใดในพื้นที่ใด และกิจการใดในพื้นที่ใดที่ไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์จากEEC ได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า หากแผนงานทั้ง 3 ด้าน ดำเนินการสำเร็จแล้ว EEC จะมีศักยภาพสูงในการดึงดูดนักลงทุนตามเป้าประสงค์ของรัฐบาลได้ โดยในระยะสั้นถึงปานกลาง EEC จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนที่ปัจจุบันมีการลงทุนใน 3 จังหวัดนี้อยู่แล้ว มากกว่าดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ ส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่ม New S-Curveจะยังมีน้อย
นอกจากนี้ ด้านความพร้อมต่ออุตสาหกรรมกลุ่ม New S-Curve พบว่า มาเลเซียมีความพร้อมมากกว่าไทยค่อนข้างสูงในทุกด้าน และแม้ไทยจะได้เปรียบอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ในเรื่องความพร้อมทางเทคโนโลยี แต่กลับมีความพร้อมด้านนวัตกรรมต่ำที่สุด ส่วนด้านการศึกษาขั้นสูงและการฝึกอบรมและด้านระดับการพัฒนาของธุรกิจนั้น ทั้ง 3 ประเทศมีระดับใกล้เคียงกัน โดยไทยอยู่ในระดับเดียวกับอินโดนีเซียในทั้งสองด้าน แต่ต่ำกว่าฟิลิปปินส์ในด้านการศึกษาขั้นสูงและการฝึกอบรม แสดงว่าไทยไม่ได้มีความได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้านซึ่งก็มีนโยบายดึงดูดนักลงทุนในอุตสาหกรรมที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีเช่นเดียวกัน จึงอาจทำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่ม New S-Curve ในประเทศเหล่านี้ เพราะมีความพร้อมมากกว่าไทย
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สัดส่วนของการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่ม First S-Curve มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 33 ในช่วงเดือน ม.ค.-ส.ค. 2559 เป็นร้อยละ 38 ในปี 2564 จากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ส่วนการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่ม New S-Curve อาจมีสัดส่วนใกล้เคียงของเดิมที่ร้อยละ 9 และการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นๆ จะมีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 58 เป็นร้อยละ 53 ซึ่งคาดว่าการลงทุนในกลุ่มนี้จะมาจากเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 10 แห่ง ตามนโยบายของรัฐบาล และการลงทุนในอุตสาหกรรมดั้งเดิมเป็นหลัก
นอกจากนี้ ในระยะยาวหากต้องการให้การลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่ม New S-Curve มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 9 ก็จำเป็นต้องพิจารณาด้วยว่าสิทธิประโยชน์จากบีโอไอเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการดึงดูดนักลงทุน แต่ปัจจัยด้านแรงงานก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งไทยยังขาดแคลนแรงงานกึ่งทักษะและแรงงานมีทักษะ จึงจำเป็นที่จะต้องผลิตบุคลากรให้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรม จึงจะสามารถดึงดูดนักลงทุนได้ ส่วนงานที่ต้องใช้แรงงานที่มีทักษะสูงก็อาจแก้ปัญหาโดยการจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติเป็นการชั่วคราว และกำหนดเงื่อนไขให้การลงทุนมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) และการฝึกอบรมให้แก่แรงงานชาวไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ได้แก่ ความต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐ ระดับการพัฒนาด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ของประเทศ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) และนวัตกรรม เป็นต้น ซึ่งจำเป็นจะต้องปรับปรุงให้ปัจจัยเหล่านี้เอื้อต่อการลงทุนและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
โดยสรุปศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในระยะสั้นถึงปานกลาง EEC จะให้ประโยชน์แก่นัก ลงทุนเดิมเพื่อต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิมไปสู่อุตสาหกรรมในกลุ่ม First S-Curve มากกว่าดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรม New S-Curve ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยปี 2564 สัดส่วนการลงทุนของอุตสาหกรรมกลุ่ม First S-Curve จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 38 แต่ในระยะยาว หากประเทศไทยต้องการดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม New S-Curve ก็จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยด้านแรงงาน ให้การลงทุนเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่แรงงานชาวไทย รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย


