"เศรษฐกิจพอเพียง" แนวทางสู่การ "มีกิน-มีสุข" อย่างแท้จริง
ประสบการณ์จากเกษตรกร หลักปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" แนวทางนำชีวิตสู่การมีกิน-มีสุขอย่างแท้จริง
ประสบการณ์จากเกษตรกร หลักปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" แนวทางนำชีวิตสู่การมีกิน-มีสุขอย่างแท้จริง
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้น เป็นหลักที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตของผู้คนในทุกระดับชั้นของสังคม และโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร การน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการประกอบอาชีพก็สามารถให้ผลลัพธ์ที่นำไปสู่การมีกินมีสุขอย่างแท้จริง และทำให้เกษตรกรอยู่รอดได้แม้ราคาผลผลิตจะขึ้นลงตามฤดูกาล
นิวัทธ์ สุนทรรักษา วัย 75 ปี อดีตนายตรวจไปรษณีย์จังหวัดบุรีรัมย์ ชาวบ้านหนองไม้แดง ตำบลบ้านบัว อำเภอเมืองบุรีรัมย์ ผู้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ทำการเกษตรเพื่อเลี้ยงชีพ เล่าว่า เขาเลี้ยงปลาในบ่อดิน และปลูกพืชผักสวนครัวแบบผสมผสานรอบบริเวณบ้านและสวนบนเนื้อที่ 3 ไร่รวมกว่า10 ชนิด อาทิ กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า เผือกจีน เผือกหอม เผือกดำมะนาว ต้นหอม ข่า และมะละกออีกหลากหลายสายพันธุ์โดยใช้ปุ๋ยหมักจากภูมิปัญญาชาวบ้านที่ทำขึ้นเอง ด้วยการนำมูลสุกรมูลไก่ ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นไปหมักกับแกลบ เศษอาหาร หญ้าแห้งเพื่อรดบำรุงพืชผักแทนการใช้สารเคมี โดยนิวัทธ์ทำการเกษตรแบบผสมผสานควบคู่กับการทำหน้าที่พนักงานรัฐวิสาหกิจมากว่า 60 ปี
ผลที่ได้รับก็คือ นิวัทธ์ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมีรายได้จากการปลูกพืชผักขายสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างมีความสุข ไม่มีหนี้สิน ไม่ต้องดิ้นรน รวมทั้งได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้จากประสบการณ์และภูมิปัญญาไปสู่ผู้ที่สนใจได้นำไปปฏิบัติต่อ
"หากคนไทยทุกคนน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงไปเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต ก็จะสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข มีอยู่มีกิน โดยไม่ต้องดิ้นรน"นิวัทธ์สรุปประสบการณ์ที่เข้าได้รับหลังจากใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิตมายาวนาน
เขากล่าวอีกว่า ในหลวงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดในโลก และชีวิตที่เหลือของตัวเองก็จะขอยืนหยัดอยู่บนความพอเพียง ทำดี ซื่อสัตย์ สุจริตไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพื่อตอบแทนในความดีของพระองค์และตอบแทนคุณแผ่นดิน
ประสบการณ์ที่ นิวัทธ์ ได้รับ ไม่ต่างจาก วิรัตน์ กาญจพรหม อาจารย์วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง และปราชญ์แห่งบ้านหนำควาย ตำบลนาท่ามเหนือ อำเภอเมืองตรัง ซึ่งได้พลิกฟื้นพื้นที่สวนยางพารากว่า 6 ไร่ มาสร้างเป็นศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ นับตั้งแต่ปี 2547ที่ผ่านมา ด้วยความตั้งใจที่จะเผยแพร่ความรู้ด้านการเกษตรออกไปสู่สังคม
วิรัตน์ปลูกพืชผักเสริมลงไปจนเต็มพื้นที่สวนยางพารา ควบคู่กับการเลี้ยงสัตว์นานาชนิด ส่งผลให้มีอาหารในการดำรงชีวิตประจำวัน และเหลือส่งขายเป็นอาชีพเสริม โดยไม่ต้องพึ่งรายได้จากการกรีดยางพาราอย่างเดียวอีกต่อไป จนเป็นแบบอย่างที่ดีให้เกษตรกรที่สนใจมาเยี่ยมดูงานไม่ขาดสาย
"พืชผักพื้นบ้านที่ปลูกแซมระหว่างต้นยางพารานั้น จะเน้นชนิดที่รับประทานได้ทุกวัน ส่วนสัตว์ที่เลี้ยง เช่น ปลา กบ ไก่ แพะ วัว ก็สามารถผสมผสานได้อย่างลงตัว โดยที่ยังคงกรีดยางพาราได้ตามปกติ แต่มีเงินไหลเข้ามาสู่ครอบครัว หรือวันไหนที่กรีดยางไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังกินอิ่ม เพราะผลผลิตจากพืชและสัตว์เหล่านี้ เนื่องจากในชีวิตจริงของชาวใต้ ปีหนึ่งๆ จะกรีดยางได้แค่ 4 เดือนเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือต้องเผชิญกับปัญหาฝนตกและฝนแล้ง ซึ่งหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้น จึงจะสามารถนำพาให้เกษตรกรอยู่รอดได้"วิรัตน์กล่าว


