รอยยิ้มของชายบนเบาะหลัง
ตั้งแต่จำความได้ เขาก็เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แขวนบนฝาบ้าน
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล
ตั้งแต่จำความได้ เขาก็เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แขวนบนฝาบ้าน
เป็นภาพผู้ชายสวมแว่น สะพายกล้องไว้ที่คอ รูปหล่อมีสง่าราศี
ตอนนั้นเขารู้เหมือนที่เด็กคนอื่นรู้ว่า นี่คือพระราชา เรียกเหมือนที่คนอื่นเรียกว่า ในหลวง
ด้วยความไร้เดียงสา เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมไปที่ไหนก็มีภาพในหลวงอยู่ทุกหนทุกแห่ง ในคฤหาสน์หรู สถานที่ราชการ บ้านเรือน ร้านอาหาร กระทั่งป้ายริมถนน บ้างเป็นภาพฉลองพระองค์ชุดพระมหากษัตริย์ บ้างสวมชุดทหารสีเขียว บ้างสวมสูทสากล ไม่ก็ชุดเสื้อเชิ้ตลำลอง
เขาเคยถามแม่ว่า ในหลวงทำงานอะไร แม่ตอบว่า ดูแลประเทศ ดูแลประชาชน เขาซักต่อ ดูแลยังไง แม่เริ่มตอบแบบมีอารมณ์ว่า ก็ดูแลทุกอย่าง สร้างเขื่อน ขุดคลอง สร้างถนน สร้างสะพาน แม้แต่ทำฝนท่านยังทำได้ เขาตะโกนเสียงหลง เว่อร์ เทวดาหรอกที่ทำฝนได้ พูดจบก็ลุกขึ้นวิ่งเมื่อเห็นแม่เงื้อมือจะฟาด
ความสงสัยเริ่มคลี่คลายยามโตขึ้น เขาเห็นพระราชกรณียกิจของในหลวงตามบอร์ดโรงเรียนในวันพ่อแห่งชาติ ตามรายการสารคดี ดูไปก็คิดตามว่า เออเนอะ เวลาพูดคำว่า พระราชา ก็มักนึกถึงภาพตาแก่สวมมงกุฎ แต่งตัวเต็มยศ อยู่แต่ในปราสาทใหญ่โต แต่พระราชาเมืองไทยนี่ดูเหมือนคนธรรมดาๆ แถมชอบผจญภัยไปในถิ่นทุรกันดาร ขับรถจี๊ปลุยน้ำบ้าง เดินเท้าขึ้นเขาลงห้วย บุกป่าฝ่าดงไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่อยู่ไกลๆ
สมัยโน้น ทุกวันที่ 4 ธ.ค. ช่วงค่ำๆ พ่อ แม่ เขา และน้องสาวจะนั่งหน้าจอโทรทัศน์ รอฟังในหลวงพูด ยุคนั้นการที่ในหลวงออกมาพูดในวันพ่อแห่งชาติ ถือเป็นช่องทางเดียวที่ประชาชนจะได้เห็นหน้าท่าน ฟังท่านพูด ท่านไม่ได้ใช้ภาษาราชาศัพท์เหมือนที่เด็กๆ เข้าใจ พูดภาษาธรรมดาๆ นี่แหละ เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ บางเรื่องพอท่านพูดจบ คนในห้องก็ฮาครืน ครอบครัวของเขาที่ดูอยู่ที่บ้านก็ขำตาม
วันที่ 5 ธ.ค. พ่อแม่จะพาลูกๆ ไปดูไฟ ภาพยามค่ำคืนในห้วงยามนั้นคือ ถนนทุกเส้นประดับประดาด้วยไฟสว่างไสว สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือไว้ถ่ายเซลฟี่ ทุกคนมีเวลาชื่นชมความงามตรงหน้าได้อย่างละเมียดละไม
บรรยากาศที่จำได้แม่นยำที่สุดคือ ตอนที่เขาหันไปมองหน้าพ่อแม่และน้องสาว ใบหน้าทุกคนอาบด้วยแสงไฟ สว่างจนเห็นน้ำใสๆ เอ่อท้นดวงตา รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปาก มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขของครอบครัว
ครั้งหนึ่ง แม่กำลังเดินจูงมือเขาอยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตำรวจยืนจังก้าตามปากซอย ถนนว่างโล่ง แม่พูดพึมพำขึ้นว่า ขบวนเสด็จฯ เขาเห็นชาวบ้านยืนเต็มฟุตปาท ไม่นานรถมอเตอร์ไซค์เปิดสัญญาณไซเรนก็แล่นนำ ตามด้วยขบวนรถยนต์คันใหญ่วิ่งมาเป็นแถว ทันทีที่รถสีครีมติดกระจกใสแจ๋วผ่านมาใกล้ มีผู้ชายใส่แว่นคนหนึ่งที่นั่งบนเบาะหลังโบกมือส่งยิ้มมาให้ เท่านั้นล่ะเสียงทรงพระเจริญก็ดังเซ็งแซ่
ในหลวง ---- เสียงพึมพำดังหึ่งเป็นทอดๆ
แม่สะกิดให้เขายกมือไหว้เช่นเดียวกับคนอื่น ทุกคนดูตื้นตันใจถึงขนาดพูดกันว่า มีบุญนะเนี่ย ได้เห็นในหลวง แม้มิได้เข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิดเหมือนพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลาย เพียงแวบเดียวแค่นี้ก็คุยโม้ได้ทั้งชาติแล้ว
ผ่านมายี่สิบกว่าปี เด็กน้อยอายุอานามล่วงเข้าวัยผู้ใหญ่ ได้ดู ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 รวมทั้งเคยพูดคุยกับผู้คนที่ได้รับแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตจากคำสอนของพระองค์ท่านมานับไม่ถ้วน ทันทีที่ทราบข่าวการเสด็จสวรรคต หัวใจเหมือนปลิดปลิว ล่องลอยไปแสนไกล
รุ่งเช้าหลังจากวันที่ 13 ต.ค. เขาขับรถไปทำธุระในเมือง ผ่านสนามหลวง ผ่านถนนราชดำเนิน กระทั่งมาจอดติดอยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สายตาเหลือบไปเห็นฟุตปาทที่เคยยืนกับแม่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ภาพเก่าๆ กลับมาโลดเต้นในความทรงจำอีกครั้ง
นั่นคือ ภาพถนนว่างโล่ง ตำรวจยืนจังก้าตามปากซอย ขบวนรถยนต์คันใหญ่ติดสัญญาณไซเรนแล่นมาเป็นทิวแถว และผู้ชายใส่แว่นที่นั่งบนเบาะหลังคนนั้นโบกไม้โบกมือ ส่งยิ้มหวาน พร้อมเสียงทรงพระเจริญเซ็งแซ่ดังกระหึ่มสองข้างทาง
ภาพที่จะติดตรึงใจเขาไปตราบจนชีวิตจะหาไม่


