ACD คืออะไร
โดย...พวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์
โดย...พวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์
เพิ่งจะมีการฮือฮาถามไถ่กันเมื่อไม่กี่วันนี้เองว่า ACD คืออะไร เมื่อมีข่าวการจะปิดถนนสายนั้นสายนี้ ในช่วงเวลาต่างๆ กัน เนื่องจากการประชุม ACD ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงการประชุม ACD มาบ้างประปราย แต่ไม่สามารถทำให้ประชาชน โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ทั่วๆ ไปสนใจได้ ผู้เขียนใช้คำว่าทั่วๆ ไป เพราะต้องการจะหมายถึงคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการประชุม ACD ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนไทยมากที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ถ้าไม่กระทบกับตัวเอง ตอนนี้ก็เลยจะมีการถามกันให้แซดว่าอะไรคือ ACD
ACD นั้นย่อมาจาก Asia Cooperation Dialogue หรือมีชื่อภาษาไทยว่ากรอบความร่วมมือเอเชีย ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2545 หรือสมัยทักษิณ 1 ริเริ่มโดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร สมัยที่บอกว่า “UN ไม่ใช่พ่อ” แล้วก็เลยจะพยายามสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศในเอเชียขึ้นมาเป็นพวก ประกอบกับเหตุผลที่ว่าแม้ประเทศในเอเชียมีจุดอ่อนมากมาย แต่ก็น่าจะมีจุดแข็งบ้างบางประการที่จะมาอุดช่องโหว่ดังกล่าว หรือเติมเต็มในสิ่งที่หายไปได้ ถ้ามีการดึงศักยภาพที่มีอยู่ออกมาใช้กันอย่างจริงจัง และได้มีการเสนอแนวคิดนี้ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของอาเซียนในปี 2543-2544 ซึ่งในสมัยที่เริ่มก่อตั้งทราบว่ามีสมาชิกประมาณ 18 ประเทศ งานนี้จึงเป็นของกระทรวงการต่างประเทศ ถึงแม้จะมีการให้ชื่อไว้ว่าเป็น “Business Forum 2016” ก็ตาม
ส่วนสมาชิกจนถึงปัจจุบันมีประมาณ 30 กว่าประเทศ เช่น บาห์เรน บังกลาเทศ บรูไน ภูฏาน กัมพูชา จีน อินเดีย อินโดนีเซีย อิหร่าน ญี่ปุ่น คาซัคสถาน เกาหลีใต้ คูเวต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย มองโกเลียเมียนมา ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ โอมาน กาตาร์ รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย สิงคโปร์ ศรีลังกา ... ไทย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อุซเบกิสถาน เวียดนาม อัฟกานิสถาน เป็นต้น และมีสำนักงานเลขาธิการชั่วคราวที่ประเทศคูเวต
ที่จริงแล้วนับตั้งแต่ปี 2545 ACD ได้มีการจัดประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสมาแล้ว 13 ครั้ง ในประเทศสมาชิก ACD ที่เวียนกันเป็นเจ้าภาพ มีข้อเสนอต่างๆ ที่เป็นหัวข้อเสนอหลักในการประชุม ลักษณะการประชุมคาดว่าจะยังคงความตั้งใจเดิมไว้ คือมีการหารือที่ไม่ได้มีแบบแผนเป็นทางการ และมีการกำหนดโครงการความร่วมมือในสาขาต่างๆ เมื่อกำหนดแล้วจึงมอบให้ประเทศสมาชิกทั้งหลายรับเป็นผู้ขับเคลื่อนเป็นโครงการๆ โดยมีประเทศไทยเป็นผู้ประสานงาน ทั้งนี้ความร่วมมือดังกล่าวมีทั้งเรื่องต่างๆ ในภาครัฐ เอกชน วิชาการ และประชาชน เช่น เรื่องพลังงาน การแก้ไขปัญหาความยากจน การเกษตร การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม เทคโนโลยีชีวภาพ การค้าอิเล็กทรอนิกส์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน สถาบันการจัดมาตรฐานเอเชีย ความร่วมมือด้าน SME วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การท่องเที่ยว การคลัง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สิ่งแวดล้อมศึกษา การสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างด้านกฎระเบียบ/กฎหมาย ความปลอดภัยบนท้องถนน การป้องกันภัยทางธรรมชาติ
สำหรับประเทศที่เป็นผู้รับผิดชอบโครงการนั้น มีการกำหนดไว้เดิม เช่น
- การเกษตร ได้แก่ จีน ปากีสถาน และคาซัคสถาน
- พลังงาน ได้แก่ บาห์เรน อินโดนีเซีย คาซัคสถาน กาตาร์ จีน และฟิลิปปินส์
- เทคโนโลยีชีวภาพ ได้แก่ อินเดีย
- วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ได้แก่ ฟิลิปปินส์
- การพัฒนา IT ได้แก่ เกาหลีใต้
- สถาบันด้านการจัดการมาตรฐานเอเชีย ได้แก่ ปากีสถาน
- การป้องกันภัยธรรมชาติ ได้แก่ รัสเซีย
ส่วนหัวข้อต่างๆ ที่เคยมีการคุยกัน กำหนดเป็นประเด็นสำคัญของการประชุมระดับรัฐมนตรีแต่ละครั้ง มี เช่น “Towards a better future for Asian Cooperation” การร่วมมือกั้นกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) และเรื่อง Outstanding Education เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม 10 ปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรชัดเจนนัก น่าจะเป็นเรื่องของการปรึกษาหารือกันไปตามเพลงเสียมากกว่า ไม่ต่างอะไรกับองค์การระหว่างประเทศทั่วๆ ไป มีการประชุมระดับรัฐมนตรีกันทุกปี ผลัดกันเป็นเจ้าภาพ เพิ่งจะมีครั้งนี้ที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับผู้นำขึ้น จึงเป็นการประชุมระดับผู้นำ (Summit) ครั้งที่ 2 ซึ่งก็เหมือนกระบวนการประชุมใหญ่ทั่วๆ ไป ที่จะต้องมีการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ระดับรัฐมนตรี และระดับผู้นำ และมีการประกาศนโยบายความร่วมมือบางประการครั้งนี้เท่าที่ฟังจากข่าว ก็เห็นว่าไทยได้เสนอวิสัยทัศน์และการกำหนดแผนที่นำทาง (Road Map) เพื่อพัฒนาและเชื่อมโยง (Connectivity) ใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านกฎระเบียบ/กฎหมาย ด้าน ICT ด้านความมั่นคงด้านพลังงาน ด้านความมั่นคงด้านอาหาร และความร่วมมือด้านการเงินในภูมิภาค
แต่ที่น่าสนใจคือการดึงภาคธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง ถือเป็นการริเริ่มโดยรัฐบาลนี้ที่ให้มีการประชุมภาคธุรกิจในกรอบความร่วมมือเอเชียเป็นครั้งแรก (ACD Connect Business Forum 2016) ดูแล้วการประชุม ACD ครั้งนี้ นับเป็นยำใหญ่ชามเบ้อเริ่ม ซึ่งกว่าบทความนี้จะตีพิมพ์ท่านผู้อ่านคงได้ทราบผลการประชุมแล้ว และคงได้เห็นว่ายำใหญ่ชามนี้ี้จะมีอะไรเป็นรูปธรรมหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อติดตามกันต่อไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า ผลจะปรากฏว่ามีอะไรเป็นจริงจับต้องได้บ้าง หรือจะเป็นเพียงกันหารือกันเหมือนเดิม ต่อไปนี้น่าจะมีคนจับจ้องติดตามกันมากขึ้น เพราะตอนนี้ก็เข้ามาอยู่ในความสนใจของประชาชนคนไทยแล้ว


