‘พลังกำเนิด’ ที่เรียกว่า ‘ศีลธรรม’
“พ่อแม่ให้กำเนิดเราฉันใด ศีลธรรมก็ให้กำเนิดสังคมฉันนั้น” “ศีล” หมายถึง “ข้อห้ามหรือสิ่งที่ไม่ควรทำ” ตรงข้ามกับ “ธรรม”
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
“พ่อแม่ให้กำเนิดเราฉันใด ศีลธรรมก็ให้กำเนิดสังคมฉันนั้น”
“ศีล” หมายถึง “ข้อห้ามหรือสิ่งที่ไม่ควรทำ” ตรงข้ามกับ “ธรรม” ที่หมายถึง “ข้อควรปฏิบัติ” อย่างที่ในศาสนาพุทธก็มีศีลและธรรมอย่างมากมาย เช่น ศีล 5 และธรรม 5 อย่างนี้เป็นต้น
เมื่อแรกมีมนุษย์เกิดขึ้นในโลก มนุษย์ยังไม่ได้มาอยู่ร่วมกันคือต่างคนต่างอยู่ แม้แต่การมาร่วมเพศและมีลูกก็เป็นแค่เรื่องของการรักษาและขยายเผ่าพันธุ์ ไม่ได้มีความผูกพันกันเป็นครอบครัวที่เป็นสังคมขนาดเล็กที่สุดเสียด้วยซ้ำ คือคลอดแล้วก็แค่เลี้ยงดูให้แข็งแรง แล้วปล่อยปละให้หากินเติบโตเองต่อไป เฉกเช่นสัตว์อื่นๆ ทั้งหลาย (ที่ถึงวันนี้ก็ยัง “ผสมพันธุ์ เลี้ยงให้พอแข็งแรง และปล่อยจากอกไป”)
แต่ด้วยเหตุที่มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีปัญญา มนุษย์ที่เป็นพ่อแม่ได้ใช้ปัญญาว่า การปล่อยให้ลูกเติบโตไปตามลำพังเมื่อหย่านมแล้วนั้นไม่ได้สร้างความมั่นใจว่า “ลูกๆ” จะอยู่รอดปลอดภัยหรือเติบใหญ่ไปเป็นอย่างไร จึงเกิดตระหนักใน “สิ่งที่ควรทำ” ขึ้นว่าต้องให้การ “เลี้ยงดู” อันหมายถึงการปกป้องภัยอันตราย การคุมครองดูแลให้อยู่ในสายตา การสั่งสอนอบรม การควบคุมกำชับ รวมถึงการลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม คือการที่พ่อแม่ได้แนะนำถึง“สิ่งที่ไม่ควรทำ” ระบบศีลธรรมครั้งแรกของมนุษย์จึงเกิดขึ้นในสังคมระดับครอบครัวนี่เอง
เหตุนี้สังคมมนุษย์จึงได้มีการแผ่ขยายออกไปอย่างมั่นคงเข้มแข็ง จาก “สังคมครอบครัว” ที่มีแค่พ่อแม่ลูก ไปสู่ “สังคมชนเผ่า” ที่ประกอบด้วยเครือญาติและครอบครัวอื่นๆ จนกระทั่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ขึ้นๆ พร้อมกับสร้างระบบศีลธรรมที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งก็คือกฎและระเบียบต่างๆ ในการอยู่ร่วมกัน จากที่เป็นแค่คำสั่งสอนตักเตือนของพ่อแม่ ก็มีข้อปฏิบัติดูแลกันในระหว่างเครือญาติ กฎบ้าน ระเบียบชุมชน ที่ในยุคเริ่มแรกอาจจะประกอบเข้าไว้ด้วยกันกับคุณไสยและสิ่งลี้ลับ เพื่อให้ดูน่ากลัว มีอำนาจในการใช้บังคับ สร้างเป็นลัทธิความเชื่อต่างๆ ต่อมาได้มีการนำความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า รวมถึงอำนาจของเทวดาฟ้าดินทั้งหลาย และอำนาจเหนือมนุษย์ของพระผู้เป็นเจ้า มาผนวกและสร้างสรรค์ให้น่าเลื่อมใส กลายเป็นลัทธิทางศาสนาต่างๆ อันเป็นศีลธรรมชั้นสูงสุดของมนุษย์
ลัทธิความเชื่อและศาสนาทั้งหลายนั้น นักสังคมวิทยาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็น “กฎหมายสังคม” เพราะมีลักษณะเป็นข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมตามความเชื่อความคิดของแต่ละลัทธิและศาสนา โดยที่กฎหมายสังคมเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางสังคม ด้วยการตกลงและยอมรับ (บางครั้งอาจจะโดยผู้ปกครองหรือผู้นำทางลัทธิบังคับโน้มน้าวให้เชื่อฟัง) จากผู้คนในแต่ละสังคมนั้นๆ การบังคับควบคุมการใช้กฎหมายสังคมทั้งหลายจึงขึ้นอยู่กับแนวปฏิบัติที่แต่ละสังคมให้การยอมรับ (หรือเชื่อฟัง) หรือถ้าจะมีการลงโทษก็เป็นการลงโทษด้วยการกำหนดขึ้นในแต่ละสังคมที่เรียกว่า “สังคมทัณฑ์”
กฎเกณฑ์และข้อบังคับของลัทธิความเชื่อและศาสนาต่างๆ ยังเป็น “แหล่งกำเนิด” ของกฎเกณฑ์และข้อบังคับทางการเมืองการปกครองที่เราเรียกว่า “กฎหมาย” ในความหมายที่เราใช้อยู่ทั่วไปคือ “ข้อบังคับที่ผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจในรัฐกำหนดขึ้นใช้กับผู้คนทุกคน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายต่างๆ ของรัฐ หากใครไม่ปฏิบัติตามก็ต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายนั้นๆ กำหนด” อย่างในกรณีของประเทศไทยที่เรารับอารยธรรมด้านศาสนามาจากอินเดีย เราก็มีกฎหมายในยุคโบราณที่มาจากตำรามนูศาสตร์ของศาสนาฮินดู ต่อมาเมื่อเรารับเอาศาสนาพุทธเข้ามาเป็นศาสนาประจำชาติตั้งแต่ครั้งพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัย เราก็ได้นำหลักการต่างๆ ในศาสนาพุทธมาเป็นกฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ ทางการเมืองการปกครอง เช่น จักรวรรดิวัตร และทศพิธราชธรรม เป็นต้น เพื่อเป็นการเสริมอำนาจของผู้ปกครองคือพระมหากษัตริย์
หากเราจะพิจารณาดูกฎหมายน้อยใหญ่ทั้งหลายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้ลึกซึ้ง ก็จะพบว่ามี “แก่นแกน” จากศีลธรรมทางสังคมต่างๆ อยู่ในกฎหมายเหล่านั้นอย่างมากมาย อย่างเช่น ระบบสวัสดิการโดยรัฐที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของหลายๆ ประเทศ ก็มาจากหลักการทางศาสนาที่ทุกศาสนาได้สั่งสอนให้สังคมต้องดูแลช่วยเหลือและเอื้อเฟื้อแก่กันและกัน หรือบางศาสนาที่มีความเข้มงวดด้านการลงโทษทางสังคม ก็จะเอาหลักการทางศาสนามาใช้กับการลงโทษตามกฎหมายทั่วไปให้รุนแรงไปด้วย หรือบางศาสนาก็เป็นรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุดทางการเมืองการปกครอง ร่วมกับความเป็นกฎหมายแห่งสังคมอย่างที่เคยเป็นมานั้นด้วย
น่าแปลกใจที่นักการเมืองและผู้มีอำนาจในบางประเทศไม่มีความเข้าใจ หรือ “พยายามที่จะไม่เข้าใจ” ถึงหลักการสำคัญของสังคมและบ้านเมืองข้างต้นนี้ ที่ว่า “กฎหมายกับกฎศีลธรรมคือสิ่งเดียวกัน” และ “กฎหมายมีกำเนิดมาจากกฎศีลธรรม” เพราะเรายังเห็นผู้มีอำนาจเหล่านี้ประพฤติตัว “ไม่เหมาะสม” อยู่เนืองๆ พร้อมกับเถียงและตอบโต้ข่มขู่กลับมาว่า “ฉันไม่ได้ทำผิดกฎหมาย”
อย่างในกรณีของประเทศไทยถ้าทุกคนอยู่ในกรอบศีลธรรมทางศาสนาแต่พอควร เป็นต้นว่า ไม่ทำผิดศีลทั้ง 5 และปฏิบัติตามธรรมทั้ง 5 นั้น สังคมนี้ก็จะน่าอยู่มากขึ้น เช่นเดียวกันถ้าหากนักการเมืองและผู้มีอำนาจรู้จัก “หิริโอตตัปปะ-อายชั่ว กลัวบาป” บ้านเมืองเราก็คงจะไม่เกิดความหายนะ และเราก็จะไม่มีเรื่องที่จะมาก่นด่าคนพวกนี้ว่า ช่างหน้าด้านหน้าทนเสียเหลือเกิน
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ “เหมาลำ เหมาเข่ง” อะไรเลยนะ ขอบอก!


