posttoday

จากนาโนถึงพิโก แก้หนี้นอกระบบไม่ง่าย

07 ตุลาคม 2559

โดย...กนกวรรณ บุญประเสริฐ

โดย...กนกวรรณ บุญประเสริฐ

ในที่สุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนตามที่กระทรวงการคลังเสนอเป็นแพ็กเกจ หากพิจารณาเครื่องมือแก้หนี้นอกระบบของรัฐบาลชุดนี้ จะเห็นว่า มีเครื่องมือใหม่เพิ่มขึ้น 2 ตัว คือ นาโนไฟแนนซ์ ที่ออกมาสมัยที่ สมหมาย ภาษี เป็น รมว.คลัง กับล่าสุด ครม.เห็นชอบให้ออกพิโกไฟแนนซ์ ขณะที่เครื่องมือเดิมคือการใช้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐนั้น ในรอบนี้เลือกใช้เพียงธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน ที่มีสาขารวมกันกว่า 3,000 แห่ง ให้ไปคิดผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อแก้หนี้นอกระบบ

ส่วนรูปแบบการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ถือว่าไม่แตกต่างจากมาตรการแก้หนี้รอบที่ผ่านมา เพราะมีการตั้งคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจำกรุงเทพมหานคร (กทม.) และประจำจังหวัด 77 คณะมาระยะหนึ่งแล้ว โดยลูกหนี้สามารถยื่นเรื่องที่อัยการคุ้มครองสิทธิ์ทุกจังหวัดและทุกสาขาของ ธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน เพื่อเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย หากผ่านการพิจารณาแล้ว
ก็ขอสินเชื่อจากสองธนาคารรัฐ หรือพิโกไฟแนนซ์และนาโนไฟแนนซ์ได้

นอกจากนี้ ยังมีการดึงเครือข่ายองค์การเงินชุมชน เช่น กองทุนหมู่บ้าน สถาบันการเงินชุมชน กลุ่มออมทรัพย์ รวม 56 ชุมชน มาทำองค์กรต้นแบบแก้หนี้นอกระบบเพื่อขยายผลต่อไป

ดังนั้น สิ่งที่พอจะเห็นว่ามีความแตกต่างจากมาตรการแก้หนี้นอกระบบแบบเดิม คือ การออกพิโกและนาโนไฟแนนซ์มาช่วยปล่อยกู้เพิ่ม ข้อดีในของเครื่องมือสองตัวนี้ที่เอามาช่วยแบงก์รัฐ คือ “สามารถปล่อยกู้แบบไม่มีหลักประกัน”  เพราะแบงก์รัฐไม่สามารถปล่อยกู้แบบไม่มีหลักประกันได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องหาบุคคลมาค้ำประกันไขว้กัน

สำหรับรูปแบบการปล่อยกู้ของพิโกไฟแนนซ์ คือ ปล่อยกู้ได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาท/ราย ไม่ต้องมีหลักประกัน กู้เอาไปทำอะไรก็ได้ จะเอาซื้อของใช้ฟุ่มเฟือย หรือจะเอาไปใช้หนี้หวยใต้ดินก็ไม่ผิด ส่วนนาโนไฟแนนซ์ให้กู้สูงสุดได้ไม่เกิน 1 แสนบาท/ราย เน้นปล่อยกู้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จะได้ไม่ต้องวิ่งไปพึ่งเงินนอกระบบ ส่วนดอกเบี้ยให้คิดเท่ากันที่ 36%

สำหรับผลดำเนินงานโครงการนาโนไฟแนนซ์กว่า 1 ปีที่ผ่านมา ณ สิ้นเดือน  ส.ค. 2559  พบว่ามีผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจนาโนไฟแนนซ์แล้ว 29 ราย แต่ที่เปิดดำเนินการได้จริงมี 19 บริษัท และสถาบันการเงิน 1 แห่ง ได้แก่ 1.บริษัท เงินสดทันใจ 2.บริษัท ไทยเอซ แคปปิตอล 3.บริษัท แมคคาเลกรุ๊พ 4.บริษัท สหไพบูลย์ (2558) 5.บริษัท เมืองไทยลิสซิ่ง 6.บริษัท เงินติดล้อ  (บริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิส) 7.บริษัท มีนาลิสซิ่ง 8.บริษัท อินเทลลิเจนท์ ทีที. พาวเวอร์ 9.บริษัท พี.เอส.เอ็น.ลิสซิ่ง 10.บริษัท ทีเค เงินทันใจ 11.บริษัท โดเมสติค แคปปิตอล 2015 12.บริษัท ไมด้า ลิสซิ่ง 13.บริษัท ปิยะระยองกรุ๊ป 14.บริษัท พสิษฐ์ภาคิณ 15.บริษัท เงินแสนสบาย 16.บริษัท จี แคปปิตอล 17.บริษัท ไอร่า แอนด์ ไอฟุล 18.บริษัท เทอร์โบ แคช (ประเทศไทย) 19.บริษัท เอเชียเจมส์ฟอร์ยู ส่วนสถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย

ทั้งหมดนี้ มีการให้สินเชื่อไปแล้ว 4 หมื่นราย เป็นวงเงินรวม 1,053 ล้านบาท (เฉลี่ย 2 หมื่นบาท/ราย)  โดยระยะหลังเริ่มเห็นการปล่อยสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 100 ล้านบาท/เดือน สาเหตุมาจากการที่มีบริษัทและสถาบันการเงินที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้มาเป็นผู้ให้สินเชื่อมากขึ้น แต่ละบริษัทต่างมีเทคนิคการปล่อยกู้เพื่อให้ยอดวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการจับลูกค้ารายเดิมที่เคยกู้ลีสซิ่ง มีรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมีหลักประกันเดิมอยู่แล้ว ก็มาชวนให้กู้นาโนเพิ่มเติมได้ เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่ที่แต่ละบริษัทจะแบ่งความเสี่ยงอย่างไร เพราะเงินที่ปล่อยกู้เป็นเงินทุนของบริษัททั้ง 100%

ก่อนหน้านี้ ยอดปล่อยกู้นาโนแทบไม่เคลื่อนไหว เพราะคนที่ปล่อยกู้รายแรกๆ เจอลูกหนี้กู้เงินได้แล้วปิดโทรศัพท์หนี แต่ละบริษัทจึงปรับตัวด้วยการออกกฎเข้มงวดในการปล่อยกู้ จุดอ่อนอีกด้านของนาโน คือ มีสาขาน้อย ส่วนใหญ่ปล่อยกู้ในเขตเมืองและ กทม. ทำให้กระทรวงการคลังต้องออกพิโกไฟแนนซ์มาเสริมทัพนาโนไฟแนนซ์

สำหรับพิโกไฟแนนซ์จะเน้นให้เจ้าหนี้นอกระบบมาตั้งบริษัทปล่อยกู้ในระบบได้ มีเงื่อนไขว่าห้ามปล่อยกู้ข้ามเขต ต้องเป็นนิติบุคคลมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 5 ล้านบาท ปล่อยกู้ได้ตามจำนวนทุนจดทะเบียน ต่างกับนาโนไฟแนนซ์ปล่อยกู้ได้ 7 เท่าของทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท หรือเท่ากับจะปล่อยกู้ได้ถึง 350 ล้านบาท โดยพิโกไฟแนนซ์คาดว่าจะเปิดรับสมัครเจ้าหนี้นอกระบบ และผู้ประกอบการที่สนใจได้ภายใน 1 เดือนหลังจากนี้

ประเด็นที่ต้องจับตาคือ จะมีเจ้าหนี้นอกระบบที่อยู่ในต่างจังหวัด หรืออำเภอที่อยู่ห่างไกลสักกี่รายที่จะลุกขึ้นมาจดทะเบียนตั้งตัวเป็นนิติบุคคลเพื่อเข้าสู่ระบบ ที่สำคัญต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลฐานเดียวกับเอสเอ็มอี  มีการทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อรายงานให้กระทรวงการคลัง รับทราบทุก 6 เดือน จากเดิมที่แค่เขียนใส่สมุด แล้วบวกดอกเบี้ยรายวันไปเดินเรียกเก็บเอาตามบ้าน ตามตลาด

นอกจากนี้ อะไรคือแรงจูงใจที่จะทำให้คนเหล่านี้ยอมเข้าสู่ระบบ หากจะยกเรื่องการแก้กฎหมายที่มีการเพิ่มโทษเรื่องการคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กำหนด ในความเป็นจริงจะมีชาวบ้านหรือแม่ค้าที่ไหนมากล้าฟ้องร้องเอาผิดกับนายทุนท้องถิ่น

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าการออกโครงการแก้หนี้นอกระบบครั้งนี้ของรัฐบาล เป็นเจตนาดีที่ต้องการจัดการกับเรื่องหนี้นอกระบบที่คาดว่ามีลูกหนี้ราว 1.18 ล้านคน คิดเป็นมูลหนี้กว่า 1.23 แสนล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายช่วยเหลือลูกหนี้ 20% ต่อปี หรือ 2.4 แสนราย คิดเป็นมูลหนี้ 2.5 หมื่นล้านบาท/ปี หรือต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปี ที่จะจัดการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จอย่างน้อยก็ 80% แต่จะทำให้มากน้อยแค่ไหน เชื่อว่ายังต้องมีการปรับเงื่อนไขเพื่อสร้างจูงใจ หรือออกเครื่องมือใหม่เข้ามาเพิ่ม

ที่สำคัญเมื่อตีกลองรบเรื่องแก้หนี้นอกระบบแล้ว ต้องแก้ไข ต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานด้านปราบปรามต้องมีการจับเจ้าหนี้นอกระบบมารับโทษได้จริง เพราะเมื่อไรที่ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง หรือการแก้ไขสะดุด ผลที่จะออกมาก็จะเหมือนเดิม คือทำเท่าไรก็ปราบเจ้าหนี้นอกระบบไม่หมดไปจากสังคมไทย

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1