เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยเรื่อง สงครามและความขัดแย้ง
โดย...ดร.ศรัณย์ ศานติศาสน์
โดย...ดร.ศรัณย์ ศานติศาสน์
ถึงแม้มนุษย์ได้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความโหดร้ายของสงครามโลกและสงครามเย็น แต่ช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาความขัดแย้งและสงครามยังคงมีให้เห็นทั่วโลกไม่ว่าจะในภูมิภาคอเมริกาใต้ แอฟริกา ยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง หรือเอเชีย ทั้งในรูปแบบของสงครามระหว่างประเทศหรือความขัดแย้งภายในประเทศต่างๆ นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากได้ทำการศึกษาวิจัยสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลกโดยพบว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สำคัญซึ่งนำพาประเทศหรือสังคมเข้าสู่วัฏจักรแห่งความขัดแย้ง
ความยากจนเป็นปัจจัยสำคัญในลำดับต้นที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง โดยจะพบในกรณีของความขัดแย้งภายในประเทศมากกว่าระหว่างประเทศ การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหนึ่งปัจจัยที่อาจช่วยไม่ให้ประเทศหรือสังคมหนึ่งเข้าสู่สงคราม การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงจะช่วยลดจำนวนคนจน ทำให้โอกาสที่ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นมีน้อยลง ดังนั้นนโยบายต่างๆ ที่ส่งเสริมให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางอ้อม
ถึงแม้การที่ประชาชนมีรายได้หรือความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นจะทำให้โอกาสที่ความขัดแย้งหรือสงครามจะก่อตัวขึ้นมีน้อยลง แต่ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกก็มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แต่มนุษยชาติยังคงประสบกับความขัดแย้งและสงครามมากมาย นั่นหมายความว่ายังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญอีก การแย่งชิงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในขณะที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือการจัดสรรปันส่วนผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไม่ยุติธรรมเป็นอีกสาเหตุที่มีการกล่าวถึง
ความเหลื่อมล้ำหรือความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นในประเทศๆ หนึ่งเป็นปัจจัยในลำดับต้น ถึงแม้ความสัมพันธ์กับความขัดแย้งจะยังไม่ชัดเจน แต่หากศึกษารายละเอียดลึกลงไปจะพบว่า ความไม่เท่าเทียมในแนวราบ (Horizontal Inequality) หรือความไม่เท่าเทียมระหว่างภูมิภาคหรือกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม เชื้อชาติ ศาสนา อย่างเช่นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย (Sarntisart, 2005) หรือในกรณีของมินดาเนาในประเทศฟิลิปปินส์และปาปัวในประเทศอินโดนีเซีย (Resosudarmo et al., 2016) เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรง
โครงสร้างของระบบเศรษฐกิจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ไม่ควรถูกมองข้าม ประเทศที่พึ่งรายได้จากการค้าสินค้าขั้นปฐม (Primary Commodities) มีโอกาสที่จะเข้าสู่สงครามได้มากกว่า นอกจากนี้ ประเทศที่ทำการค้าระหว่างกันมีโอกาสเข้าสู่สงครามได้น้อยกว่า
สำหรับต้นทุนที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งและการเข้าสู่สงคราม นอกจากชีวิตมนุษย์แล้ว ที่เห็นได้ชัดคือระดับการลงทุนของประเทศลดลง ถึงแม้อาจมีการพัฒนาทางเทคโนโลยีและการเติบโตในอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ตาม (Meetaworn, 2015)
หากพิจารณาพฤติกรรมเชิงเศรษฐศาสตร์ของกลุ่มที่เข้าสู่ความขัดแย้งจะพบว่า เงินทุนที่นำมาใช้มาจากการเข้าครอบครองแหล่งทรัพยากร เช่น บ่อขุดเจาะน้ำมัน เพื่อนำน้ำมันไปขายในตลาดมืด บางกลุ่มได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ รวมถึงรัฐบาลของบางประเทศ ไม่ว่าจะในรูปของเงินทุน อาวุธยุทโธปกรณ์ หรือการฝึกฝน หากกลุ่มที่เข้าสู่ความขัดแย้งนี้ได้รับความนิยมจากคนในพื้นที่ก็จะได้รับการสนับสนุนทั้งในรูปของเงินบริจาคและสิ่งของเพิ่มเติม
คำถามสำคัญอยู่ที่ว่า การเข้าสู่สงครามและความขัดแย้งกระทบการดำเนินงานของรัฐบาลอย่างไร? คำตอบคือ การใช้จ่ายภาครัฐจะเปลี่ยนจากภาคสังคมมาสู่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสงคราม ทั้งนี้ผลกระทบจะรุนแรงกับประชาชนที่มีรายได้น้อย และผลกระทบต่อประเทศจะยาวนานถึงแม้สงครามจะสิ้นสุดไปแล้ว นอกจากนี้ ภาครัฐยังประสบกับปัญหารายได้จากภาษีที่ลดลง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ร่อยหรอ นำไปสู่การเป็นหนี้ อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
สำหรับนโยบายระหว่างประเทศที่ใช้โต้ตอบในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งมีทั้งการคว่ำบาตร ซึ่งพบว่ามีประสิทธิภาพต่ำและส่งผลกระทบทางลบกับประชาชนของประเทศนั้นมากกว่าผู้บริหารประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการลดการให้ความช่วยเหลือทางการทหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อนโยบายระหว่างประเทศของประเทศนั้นมากกว่าที่จะนำไปสู่สันติภาพ ทั้งนี้ ความขัดแย้งยากที่จะจบลงหากผู้ที่เข้าร่วมยังคงได้ประโยชน์จากการค้าสินค้าผิดกฎหมาย
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมอยากปิดท้ายว่า ไม่ว่าสงครามหรือความขัดแย้งจะเกิดจากสาเหตุอะไร ใครเป็นผู้เริ่ม แต่ผลกระทบของมันส่งผลต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย ผู้หญิงและเด็ก มากกว่าผู้บริหารประเทศ ซึ่งเป็นคนที่กำหนดนโยบายเข้าสู่ความขัดแย้งเหล่านั้น “WAR does not determine WHO is RIGHT – ONLY who is LEFT” ครับ


