พันธมิตรฯไม่สะเทือน แต่หนีแรงสะท้านไม่พ้น
พันธมิตรฯไม่น่าจะสะเทือนมากนักจนถึงขั้นล่มสลาย เพราะได้ทำการปรับตัวมาตลอด สร้างคนรุ่นใหม่ๆ ให้ขึ้นมามีบทบาท
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
เป็นประเด็นข่าวใหญ่ไม่น้อยสำหรับกรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ “สนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จำคุกเป็นเวลา 20 ปี ในคดีกระทำผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 จากกรณีที่บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ทำสำเนารายงานการประชุมของกรรมการบริษัทที่เป็นเท็จ ว่ามีมติให้บริษัทเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ธนาคารกรุงไทยให้กับบริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ป
ผลของคดีนี้ถือว่าเป็นที่สุดแล้ว “สนธิ” ต้องเดินหน้ารับโทษตามคำพิพากษาของศาลจนครบกำหนด หรือครบเงื่อนไขที่สามารถขอลดและบรรเทาโทษได้
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ต้องให้ขบคิดกันต่อไป ว่าในวันที่พันธมิตรฯ ไม่มีคนที่ชื่อ “สนธิ” แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สนธิ คือ หัวใจสำคัญของกลุ่มพันธมิตรฯ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2549 ก่อนการก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรฯ สนธิเป็นผู้นำคนเดียวและคนแรกที่จุดกระแสต่อต้าน ทักษิณ ชินวัตร จากนั้นจึงมีการตั้งกลุ่มพันธมิตรฯ ในเวลาต่อมา
สนธิ เป็นแกนกลางคนสำคัญในการรวบรวมภาคประชาชนเพื่อจัดรูปองค์กรต่อสู้กับรัฐบาลทักษิณ แม้การล้มลงของรัฐบาลทักษิณ จะไม่ได้มาจากผลของการชุมนุมของพันธมิตรฯ แต่ก็ทำให้เกิดยุคเฟื่องฟูของการเมืองนอกสภากลับมาอีกครั้ง
บทบาทการเป็นผู้นำม็อบเสื้อเหลืองของสนธิ โดดเด่นอย่างถึงที่สุดเมื่อครั้งมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์
เวลานั้นพันธมิตรฯ สามารถยกระดับการชุมนุมแบบที่ไม่เคยมีม็อบการเมืองกลุ่มไหนทำได้มาก่อน เช่น การถ่ายทอดสดการชุมนุมผ่านสื่อของตัวเองทั้งวันทั้งคืน หรือการเข้ายึดสถานที่สำคัญของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ทำเนียบรัฐบาล ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
อาจเรียกได้ว่าเป็นแม่เหล็กคนสำคัญที่ช่วยดึงดูดให้มวลชนมาร่วมกับพันธมิตรฯ มากขึ้น และสร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลสมัครและสมชาย
แต่งานเลี้ยงย่อมมีเลิกรา กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ยุติบทบาทตัวเอง ภายหลังสมชายพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุของการยุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งตามมาด้วยการขึ้นมาเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ที่มี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกฯ
การปิดฉากลงของรัฐบาลสมชาย ไม่ต่างอะไรกับการปิดตัวลงของกลุ่มพันธมิตรฯ และสนธิอย่างไม่เป็นทางการ เพราะเวลานั้นพันธมิตรฯ เปลี่ยนรูปแบบของการเคลื่อนไหวไปเป็นการจัดเวทีอภิปรายแสดงความคิดเห็นของภาคประชาชน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวลานั้นไม่ได้มีเงื่อนไขที่ทำให้การชุมนุมเกิดขึ้นมาได้
ทั้งนี้ มีเพียงอยู่ช่วงหนึ่งระหว่างการบริหารประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่กลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาชุมนุม โดยเป็นการชุมนุมในเรื่องปัญหาข้อพิพาทบริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหาร แต่การชุมนุมไม่ได้ยืดเยื้อและจบลงในที่สุด
นับจากนั้นเป็นต้นมาบทบาทของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็เงียบหาย บางส่วนสร้างพื้นที่แสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเรื่องกิจการพลังงานอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ส่วนตัวของสนธิเองยังคงทำหน้าที่ของสื่อมวลชนผ่านการจัดรายการในสื่อของตัวเอง
ยิ่งในช่วงของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้มุ่งหน้าสู่ท้องถนนเหมือนอย่างที่เคย ปล่อยให้กลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เป็นองค์กรในการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ฝ่ายเดียว โดยขออยู่นอกสนามรบเท่านั้น
ขณะเดียวกัน แม้ในสถานการณ์ปัจจุบันสนธิจะสิ้นเสรีภาพ แต่ด้านหนึ่งก็คงไม่มีผลกระทบในเชิงโครงสร้างของกลุ่มพันธมิตรฯ มากนัก เพราะต้องยอมรับว่าฐานของมวลชนที่สนธิและแกนนำพันธมิตรฯ สร้างเอาไว้ตั้งแต่การสู้กับทักษิณถึงสองครั้งใหญ่นั้นมีความเข้มแข็งพอสมควร ดูได้จากเวลาที่เครือข่ายของกลุ่มพันธมิตรฯ จัดเวทีอภิปรายเรื่องต่างๆ พบว่ายังมีคนเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก
หากจะให้บอกว่าในวันที่สนธิไม่อยู่จะไม่มีผลกระทบกลุ่มพันธมิตรฯ เลยก็คงเป็นการมองโลกสวยเกินไป
ต้องไม่ลืมว่าสนธิเป็นแม่ทัพของพันธมิตรฯ ทั้งในยามสงบและยามรบ ดังจะเห็นได้จากเมื่อครั้งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์พยายามระดมความเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ก็ยังต้องส่งตัวแทนเข้ามาพบกับสนธิโดยตรง อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าพันธมิตรฯ คือ สนธิ และ สนธิ คือ พันธมิตรฯ
แต่กระนั้น พันธมิตรฯ ก็ไม่น่าจะสะเทือนมากนัก จนถึงขั้นล่มสลาย เพราะองค์กรพันธมิตรฯ ได้ทำการปรับตัวมาตลอด สร้างคนรุ่นใหม่ๆ ให้ขึ้นมามีบทบาทในสาธารณะมากขึ้น ไม่ปล่อยให้การนำผูกขาดอยู่กับสนธิ หรือแกนนำรุ่นเก่าๆ เพียงฝ่ายเดียว
ดังนั้น จังหวะก้าวของพันธมิตรฯ ในเวลาที่ไม่มีสนธิจากนี้ไป จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง


