posttoday

ห้ามนำผู้ต้องหาแถลงข่าว=ยกระดับความยุติธรรม

07 กันยายน 2559

ฟังความเห็นผู้มากประสบการณ์ในวงการยุติธรรมต่อคำสั่ง “ห้ามไม่ให้นำผู้ต้องหามาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ภายหลังการจับกุม”

โดย..วรรณโชค ไชยสะอาด

เหตุเพราะความกังวลต่อการละเมิดสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ทำให้นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา ออกคำสั่ง “ห้ามไม่ให้นำผู้ต้องหามาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ภายหลังการจับกุม” 

คำสั่งดังกล่าวถูกคาดหวังว่าจะยกระดับกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ซึ่งน่าสนใจว่า ผู้เกี่ยวข้องมากประสบการณ์นั้นคิดเห็นกันอย่างไร..

สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสำคัญ

การห้ามไม่ให้นำตัวผู้ต้องการมาแถลงข่าวนั้น ปรากฎขึ้นตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2548 เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ออกคำสั่งที่ 855/2548 ห้ามนำหรือจัดให้ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือพยาน มาให้ข่าวแถลงข่าวหรือให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนทุกแขนง  ยกเว้นกรณีที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ให้ขออนุญาตต่อผู้บัญชาการ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม ห้ามนำผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ พระภิกษุสามเณร  นักพรต  นักบวช  ผู้เสียหายที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ มาให้ข่าวแถลงข่าว หรือให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนทุกแขนงเป็นอันขาด  รวมตลอดถึงการชี้ตัวผู้ต้องหาในลักษณะที่เป็นการเผชิญหน้าต่อสื่อมวลชนทุกแขนง ต่อมาในปี พ.ศ.2550 สตช.มีคำสั่ง 465/2550 ไม่ให้สื่อมวลชนบันทึกภาพผู้ต้องหา แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการบังคับใช้จริง

ธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ตามหลักกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights– ICCPR) ระบุชัดว่า การนำผู้ต้องหามาแถลงข่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เนื่องจากผู้ที่ถูกจับเป็นผู้ต้องหา เมื่อนำมาแถลงข่าวต่อมาภายหลังศาลมีคำสั่งไม่ฟ้อง หรือกรณีที่ศาลมีคำสั่งยกฟ้องผู้ต้องหาที่ปรากฎเป็นข่าวหน้า 1 ซึ่งคนเหล่านี้ได้รับความเสียหายไปแล้วไม่เฉพาะตัวบุคคลที่ถูกเผยแพร่ภาพว่าเป็นผู้ต้องหา แต่ยังส่งผลกระทบถึงครอบครัวของบุคคลดังกล่าว ทำให้ไม่มีที่ยืนในสังคม เกิดความโกรธแค้นและทำร้ายสังคมซ้ำอีก

การนำผู้ต้องหามาแถลงข่าวเกิดขึ้นเพราะผู้บังคับบัญชาต้องการผลงาน และต้องสร้างความเกรงกลัวต่อการทำผิด ขณะที่สื่อมวลชนก็ต้องการได้ภาพและข่าว ส่วนคำถามที่ว่า หากผู้ต้องหาอยากแถลงนั้น เป็นไปไม่ได้ ตามหลักแล้ว การอ้างว่าผู้ต้องหายินยอมเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเลี่ยงกฎหมาย คงไม่มีผู้ต้องหาคนไหนอยากจะมานั่งแถลงเรื่องที่ไม่ดีของตนเอง

ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ห้ามหน่วยต่างๆ แถลงข่าว เจ้าหน้าที่ยังสามารถแถลงผลการจับกุมได้ เพียงแต่ห้ามนำตัวผู้ต้องหามาแถลงเท่านั้น

ห้ามนำผู้ต้องหาแถลงข่าว=ยกระดับความยุติธรรม

พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กล่าวว่า การแถลงข่าวนั้นทำไปเพื่อให้ประชาชนรับทราบพฤติการณ์ของคดี เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยหลักการสำคัญที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติยึดถือมาตลอดคือ คดีที่มีการแถลงข่าวเปิดหน้าผู้ต้องหาหรือผู้กระทำความผิด ต้องเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นคดีที่ผู้ต้องหารับสารภาพ และยินยอม โดยมีการทำบันทึกทุกครั้ง เจ้าหน้าที่ไม่เคยฝ่าฝืน ส่วนคดีที่มีผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน ผู้กระทำผิดเป็นพระภิกษุ หรือเยาวชน ตำรวจจะไม่นำมาแถลงข่าวเด็ดขาด ซึ่งผู้บังคับบัญชาจะใช้ดุลพินิจในการพิจารณา ว่ากรณีนั้นจะนำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าวหรือไม่

“คำสั่งนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่พร้อมปฎิบัติตาม จากนี้จะมีการทบทวนและระมัดระวังมากขึ้น ในการพิจารณานำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าว เพื่อไม่ให้ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน และเป็นประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด”

ห้ามนำผู้ต้องหาแถลงข่าว=ยกระดับความยุติธรรม ธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม

แถลงข่าว = โปร่งใส ลดอาชญากรรมและการจับแพะ

อดีตที่ผ่านมา หากยังพอจำกันได้ การแถลงข่าวผู้ต้องหาโด่งดังมากในยุคนายตำรวจฝีปากกล้า อย่าง  "ผู้การวิสุทธิ์"  พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีตรองผู้บัญชาสำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ เห็นว่า การนำผู้ต้องหามาแถลงข่าวภายหลังการจับกุมนั้น หลายกรณีมีประโยชน์มากกว่าโทษ

“สังคมต้องเข้าใจก่อนว่า ผู้ต้องหาบางรายก่อเหตุปล้น จี้ ชิงทรัพย์ อนาจาร ครั้งแล้วครั้งเล่า บางรายกว่าจะจับกุมได้ ก่อเหตุมาแล้ว 9 ครั้ง จับได้ครั้งที่ 10 ถ้าเงียบเลย ไม่เปิดเผยหน้าตา ประกาศเพียงนามสมมุติ เช่น จับนายสมศักดิ์ได้แล้ว ถามว่าผู้เสียหาย 9 รายก่อนหน้านี้ จะทราบไหมว่า คนที่กระทำความผิดต่อตนนั้นชื่อ สมศักดิ์ ผิดกับการแถลงออกสื่อ เปิดหน้าตาชัดเจน ผู้ต้องหาจะถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแน่นอน เพราะผู้เสียก่อนหน้านี้พากันมาชี้ตัว บอก ‘เฮ้ย ไอ้ห่านี่ เคยจี้เราไว้นี่หว่า’ สุดท้ายมันก็จะได้รับโทษทั้งหมดที่ตัวเองก่อ โทษมากขึ้นก็อาจทำให้สำนึกผิดและไม่คิดก่อเหตุซ้ำอีก

นอกจากนั้นการรู้ตัวผู้กระทำความผิดอย่างแน่ชัด ยังทำให้เจ้าทรัพย์ ตามหาทรัพย์สินของตัวเองได้ง่ายขึ้น พอแถลงข่าวปุ๊ป เจ้าทรัพย์ เดินทางไปชี้ตัวมัน และถามเลย มึงเอาของไปจำนำที่ไหน มันบอกพระโขนง ก็ไปตามพระคืนได้”

ผู้การวิสุทธิ์ ชี้ว่าในมุมมองด้านจิตวิทยา การเปิดหน้าผู้ต้องหา ถือเป็นตัวอย่างให้สังคมเห็นผลจากการกระทำที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง เกิดความขยาดหรือตระหนักว่าไม่ควรกระทำผิดกฎหมาย

“คนทั่วไปคงรู้สึกเฉยๆ ถ้าได้ยินข่าวการจับกุม รับโทษ โดยไม่เห็นหน้าผู้กระทำความผิด กลับกัน พวกเขาจะรู้สึกกลัวที่จะทำผิดขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าผลของมัน นอกจากต้องโทษแล้วยังถูกประจานผ่านสื่อด้วย”

นอกจากนี้เขายังเห็นว่าการไม่เปิดเผยหน้าตาผู้ต้องหานั้น เท่ากับเพิ่มความเสี่ยงและโอกาสในการจับแพะสูงขึ้น

“หากแถลงข่าวเปิดเผยหน้าตา ผู้ต้องหาชื่อนายสมศักดิ์ เนินสูงเนิน อายุ 28 ปี  ถ้าเป็นแพะจริงๆ กระแสสังคมมาเต็มแน่นอน เฮ้ย ไม่ใช่ คนนี้ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้ ประชาชนพร้อมใจกันเป็นพลเมืองดี เป็นพยานว่า ชายคนนี้ไม่ได้ก่อเหตุ แต่ถ้าไม่เปิดเผยหน้าตา พูดภาษาชาวบ้าน มันมั่วได้อ่ะ โดยเฉพาะคดีไหนถูกกดดันจากสังคม มีผู้ใหญ่บีบรัด จะจับได้เมื่อไหร่... ทีนี้เอาแพะมาเลย มันไม่เห็นหน้านี่หว่า  หาแพะง่ายกว่าไหมล่ะ คิดดู ? ”

อดีตนายตำรวจฝีปากกล้า ทิ้งท้ายว่า หากเจ้าหน้าที่ตำรวจมั่นใจจริง ผ่านการขออนุมัติหมายจับจากศาล มีหลักฐานพร้อม ครบถ้วน ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะแถลงข่าวโดยเปิดเผยหน้าผู้ต้องหา เนื่องจากเป็นประโยชน์ต่อผู้ถูกกระทำและสังคมมากกว่า

“คนที่กระทำผิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิคนอื่น จะมีหน้ามาเรียกร้องสิทธิจากสังคมได้อย่างไร ผู้เสียหายไม่ใช่คนที่ต้องได้รับการปกป้องหรอ พวกเขาถูกละเมิดเหมือนกัน และต้องได้รับรู้  อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญที่สุดคือ ส่งเสริมให้คนทำตามกฎหมายและป้องกันการกระทำความผิดตั้งแต่แรก ถ้าทำตัวดี สังคมก็พร้อมที่จะปกป้องตามหลักสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว”

ห้ามนำผู้ต้องหาแถลงข่าว=ยกระดับความยุติธรรม

ไม่เห็นความจำเป็น โลกนี้เขาไม่ทำกันแล้ว

ตามหลักการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา ให้สันนิษฐานว่า ผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือดำเนินคดีอาญานั้น ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำความผิด ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ แม้จะถูกควบคุมหรือคุมขังระหว่างรอการสอบสวนหรือพิจารณา จากหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม

ร.ต.อ.ดร.จอมเดช ตรีเมฆ นักวิชาการด้านอาชญวิทยา มหาวิทยาลัยรังสิต ยืนยันว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะนำผู้ต้องหามาแถลงข่าวต่อสื่อและสังคม ซึ่งเป็นค่านิยมแบบไทยๆ ที่ประเทศอื่นทั่วโลกไม่ทำกัน เนื่องจากคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน  ที่ผ่านมาหลายกรณี ยังไม่แน่ชัดว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้กระทำผิดจริงหรือไม่ และถึงแม้จะมีหลักฐานชัดเจนก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องนำมาประจาน เนื่องจากผู้ต้องหาต้องถูกลงโทษด้วยกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว การประจานเป็นความสะใจของสังคมเท่านั้น

“มีงานวิจัย ระบุว่า การประจานผู้กระทำความผิดนั้น ไม่ได้ส่งผลให้คนในสังคมรู้สึกเกรงกลัว และไม่อยากกระทำความผิด การนำเสนอ ควรจะนำเสนอ เมื่อศาลตัดสินแล้วว่า ผู้นั้นได้รับโทษอย่างไร เช่น ศาลสั่งจำคุก 5 ปี 10 ปี แล้วนักข่าวค่อยนำเสนอเปิดหน้า ว่า ชายคนนี้มีพฤติกรรมอย่างไร และได้รับโทษแค่ไหน จะเป็นประโยชน์กับสังคมมากกว่า อย่างน้อยคนที่ลืมคดีนี้ไปแล้วก็จะได้นึกขึ้นได้ เช่นกันกับการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่ไม่จำเป็นต้องทำ เพราะศาลไม่จำเป็นต้องรับฟังแผนประกอบคำรับสารภาพ”

คำถามที่ว่าการปกปิดหน้าตาผู้ต้องหานั้นจะเพิ่มโอกาสในการจับแพะหรือไม่ ? นักวิชาการด้านอาชญวิทยา รายนี้ตอบว่า จะเปิดหน้าหรือปิดหน้า สังคมส่วนใหญ่ไม่ทราบหรอกว่า ผู้นั้นใช่แพะหรือไม่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความยุติธรรมของผู้บังคับใช้กฎหมาย

ห้ามนำผู้ต้องหาแถลงข่าว=ยกระดับความยุติธรรม

ประจานผ่านสื่อ ตีตราตั้งแต่ยังไม่ได้ทำผิด

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2555 ชายหนุ่มคนหนึ่ง ตกเป็นแพะในหลายคดี ไล่ตั้งแต่ ปล้นทรัพย์ ข่มขืน กักขังหน่วงเหนี่ยว และพยายามฆ่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดงานแถลงข่าวใหญ่โต ต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมกับส่งตัวเขาไปฝากขังที่เรือนจำนานถึง 9 คืน กว่าความยุติธรรมจะมาถึง

ชรินทร์ ช้ำเกตุ อดีตโชเฟอร์แท็กซี่แพะรับบาป เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นไม่มีโอกาสได้ชี้แจงหรือพิสูจน์ความบริสุทธิ์อย่างเต็มที่ พร้อมถูกสังคมตีตราไปแล้วว่า ‘ผมเลว’

“ตอนนั้นตำรวจสอบสวนนานมาก พอถึงขั้นตอนชี้ตัวปรากฎว่าผู้เสียหายทุกคนชี้ตัวผมหมด จนเขาพาไปแถลงข่าว โดยไม่มีการถามว่ายินยอมหรือไม่ ผมช็อคทำอะไรไม่ถูก นักข่าวเป็นร้อย นายตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาด่าผมหยาบๆคายๆ เงื้อมือทำท่าจะตบ ตอนนั้นผมนิ่งมาก เพราะคิดอะไรไม่ออก มึนตึ้บไปหมด นักข่าวถามอะไรมาก็ตอบอย่างเดียวผมไม่ได้ทำครับ แต่ในหัวคิดตลอดเวลาว่าแล้วจะทำยังไง ทนายก็ไม่มี กฎหมายก็ไม่รู้ ญาติผู้ใหญ่ที่จะมาสู้กับเขาก็ไม่มี สุดท้ายโดนส่งตัวไปฝากขังที่เรือนจำ”

หลังจากตกนรกอยู่ 9 คืน เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดตัวจริงได้ ชรินทร์ ถูกปล่อยตัวและได้รับเงินเยียวยา 20,000 บาท

อดีตแพะรับบาปรายนี้ บอกว่า คำสั่งยกเลิกการนำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ภายหลังการจับกุม ถือว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องและส่งผลดีต่อทุกฝ่าย ทั้งต่อตัวเจ้าหน้าที่เอง ผู้ต้องหา และสังคม

“ตอนแถลงข่าวว่าเราเลว เป็นโจร โด่งดังไปทั่วประเทศ สังคมพากันตัดสิน แต่ตอนแก้ข่าวมันไม่แพร่หลายขนาดนั้น  ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตยังตราหน้าว่าผมเป็นผู้กระทำความผิดเลย จากประสบการณ์ที่ได้รับ คำสั่งยกเลิกนั้นดีต่อทุกฝ่าย ทั้งการค้นหาหลักฐานเพื่อความชัดเจนขึ้นของเจ้าหน้าที่ และการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวผู้ต้องหาเอง ไม่มีอะไรเสียหายเลย”

น่าติดตามว่า คำสั่งดังกล่าวจะสามารถเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าค่านิยมแบบไทยๆ ในการแถลงข่าวจับกุมตัวผู้ต้องหาต่อไปได้หรือไม่

ห้ามนำผู้ต้องหาแถลงข่าว=ยกระดับความยุติธรรม ชรินทร์ ช้ำเกตุ อดีตโชเฟอร์แท็กซี่แพะรับบาป

 อ่านบทสัมภาษณ์ ชรินทร์ ช้ำเกตุ เต็มๆ ได้ที่ เปลือยชีวิตสุดอาภัพของแท็กซี่ดวงซวย "ชรินทร์ ช้ำเกตุ"
http://www.posttoday.com/analysis/interview/445437

 

ข่าวล่าสุด

ดีอี เตือนภัย ประชาชน เตรียมรับมือ 4 เทรนด์สแกมเมอร์ ปี 69