posttoday

โลกาภิวัตน์ กับกระแสต่อต้าน

06 กันยายน 2559

โดย...สมชาย สกุลสุรรัตน์

โดย...สมชาย สกุลสุรรัตน์

เช้าวันนี้ผมเพิ่งฟังข่าวการประชุมกลุ่มประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจของโลก 20 ประเทศที่เรียกว่า กลุ่มประเทศ จี20 ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน จากสถานีวิทยุต่างประเทศแห่งหนึ่ง มีสาระที่น่าสนใจหลายเรื่อง

ที่ผมอยากเก็บมาคุยกับท่านผู้อ่านวันนี้ คือเรื่องที่ผู้นำหลายประเทศที่เข้าร่วมการประชุมมีความเป็นห่วงกระแสการต่อต้านระบบโลกาภิวัตน์ที่กำลังมาแรงในหลายประเทศ แม้แต่ประเทศที่เป็นต้นตำรับโลกาภิวัตน์อย่างสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ

กระแสการต่อต้านโลกาภิวัตน์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป และประชาชนอเมริกันจำนวนหลายล้านคนให้ความสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ประกาศนโยบายต่อต้านระบบโลกาภิวัตน์อย่างชัดเจนอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ระบุว่า จีนเอาเปรียบสหรัฐอเมริกาในการค้าขายระหว่างกันจึงจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น และการประกาศว่าจะสร้างกำแพงกั้นพรมแดนเม็กซิโกเพื่อป้องกันการอพยพข้ามพรมแดนจากเม็กซิโกเข้ามาแย่งงานคนอเมริกันทำในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการส่งแรงงานผิดกฎหมายกลับประเทศทันทีด้วยข้อหาเดียวกันโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะทำมาหากินอยู่ในสหรัฐมาแล้วนานเท่าไรก็ตาม

ด้วยความเป็นห่วงกระแสการต่อต้านโลกาภิวัตน์ที่อาจทำให้หลายประเทศเลือกที่จะออกจากระบบนี้ คริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ ถึงกับเรียกร้องให้บรรดาเจ้าสัวหรือผู้นำธุรกิจประเทศต่างๆ พยายามกดดันให้รัฐบาลของตนอย่าโดดเดี่ยวประเทศ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวยากขึ้น

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราถูกทำให้เชื่อว่าระบบโลกาภิวัตน์จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว ธุรกิจมีโอกาสสร้างผลกำไร ทำให้เกิดการจ้างงาน กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ จนเราเชื่อว่า ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย ก่อนที่จะเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ต้องถูกบีบให้กู้เงินจากไอเอ็มเอฟมาใช้หนี้ที่เกิดขึ้นเพราะฟองสบู่แตก

ในทางตรงกันข้ามถ้าพูดอย่างนี้แล้ว หมายความว่า ประเทศที่ใหญ่และร่ำรวยที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกาน่าจะได้รับอานิสงส์จากระบบโลกาภิวัตน์ใช่ไหมครับ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมคนอเมริกันจำนวนมากและคนอังกฤษถึงต่อต้านระบบซึ่งตัวเองสร้างขึ้น และกดดันให้ประเทศอื่นยอมรับมาโดยตลอดถึงขึ้นผลักดันให้มีการสร้างกติกาสากลขึ้นมาให้ทุกประเทศถือปฏิบัติทั้งด้านการค้าและธุรกิจการเงินเพื่อให้การเคลื่อนไหวสินค้า เงินทุนการบริการแรงงานและข้อมูลเป็นไปโดยเสรี

คำตอบคือ แม้ว่าระบบโลกาภิวัตน์หรือระบบทุนนิยมสุดโต่งนี้ จะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ โดยเฉพาะกับผู้ที่ขาดสติและความยับยั้งชั่งใจ หลงระเริงไปกับอารยธรรม วัตถุนิยม และบริโภคนิยม เพราะความโลภและความอยากได้ใคร่มีทั้งในระดับปัจเจกชน ธุรกิจและประเทศ และเพราะความโลภ ส่งผลให้มีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ใช้แรงงานทาสและเด็กเพื่อลดต้นทุนการผลิต และนับวันระบบโลกาภิวัตน์ยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ ประเภทรวยกระจุกจนกระจายที่เห็นกันอยู่ในสังคมปัจจุบัน

ผลข้างเคียงทั้งหลายเหล่านี้ทำให้ประชาชนในประเทศที่เจริญแล้วเกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรมที่ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไปตกอยู่กับกลุ่มคนเล็กๆ ไม่กี่คน ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องต่อสู้เอาชีวิตรอดด้วยการทำงานวันต่อวัน และอาจถูกปลดถูกเลิกจ้างเมื่อไรก็ได้ นอกจากนั้น การสื่อสารที่เข้าถึงคนจำนวนมาก ยังทำให้มีโอกาสได้รับรู้การทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของกลุ่มทุน (ซึ่งเป็นประเด็นที่มีการหารือในการประชุมครั้งนี้) ทำให้คนจำนวนมากโดยเฉพาะชนชั้นกลางเกิดความไม่พอใจนโยบายเปิดกว้างด้านการเคลื่อนย้ายเงินทุนเทคโนโลยี และแรงงานของรัฐบาลจนกลายเป็นประเด็นสำคัญทางการเมืองระดับประเทศ เพราะเสียงของคนชั้นกลางในประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นเสียงของคนส่วนใหญ่ที่จะชี้ขาดเลือกใครเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศ

ที่พูดถึงเรื่องนี้เพราะเมื่อประชาชนในประเทศที่พัฒนาแล้วกำลังตั้งคำถามถึงคุณและโทษของระบบโลกาภิวัตน์ ทั้งๆ ที่เขาผลิตโทรศัพท์มือถือออกไปจำหน่ายให้คนทั่วโลกใช้ ทำรายได้ให้ผู้ผลิตมากกว่ารายได้ของประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย ถึงเวลาหรือยังที่ประชาชนคนไทยจะทบทวนว่า หลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับอะไรจากโลกาภิวัตน์ เราสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ หรือเทคโนโลยีของตนเองขึ้นมาใช้ หรือส่งไปจำหน่ายในต่างประเทศแข่งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีหรือจีนบ้าง หรือเราขายแรงงานทั้งบนดินและใต้ดิน รวมทั้งทำลายทรัพยากรของประเทศเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าถือใบละล้านมาใช้เท่านั้นเอง

นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านบอกว่าเศรษฐกิจไทยตกอยู่ในกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง รัฐบาลได้ออกนโยบายมากมายเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตสามารถสร้างรายได้ส่วนเพิ่ม ที่เรียกว่าเศรษฐกิจ 4.0 แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมองเห็นปัญหาและพยายามแก้ไขปัญหานี้อยู่เหมือนกัน

แต่ที่น่าคิดคือ ข้อจำกัดด้านเวลา ถ้าประเทศที่พัฒนาแล้วปรับเปลี่ยนนโยบายป้องกันผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลักอย่างที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะดำเนินการตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง เราจะทำอย่างไร เรื่องนี้คิดว่ารัฐบาลคงกำลังพิจารณาแนวทางรับมืออยู่แล้ว

ที่สำคัญคือ ประชาชนคนไทยนั้นพร้อมที่จะปรับตัวรับมือกระแสโลกาภิวัตน์ หรือกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์บ้างหรือยัง

หลายปีมาแล้ว มีผู้ใหญ่ที่ผมเคารพท่านหนึ่งเตือนผมก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งว่า ให้ระวังตัว เพราะเศรษฐกิจของประเทศจะมีปัญหา เพราะอยู่ได้ด้วยการหมุนเงิน (TO LIVE ON CASH FLOW) เศรษฐกิจและธุรกิจเติบโตเพราะเงินกู้และเงินร้อนที่ไหลเข้ามาจากต่างประเทศ หลังจากนั้นไม่นานปัญหาก็เกิดขึ้นจริงๆ ตามที่ท่านพูด

แต่วันนี้ดูเหมือนเราจะมีความสุขกับเงินร้อนที่ไหลเข้ามา ไม่เห็นมีใครสนใจว่าเงินจะร้อนหรือเงินจะเย็น ขอให้เป็นเงินก็ใช้ได้ ก็ไม่ว่ากันครับขอให้โชคดีตลอดไป

ข่าวล่าสุด

เลิกวนลูป! ส่อง 3 เป้าหมายยอดนิยมที่คนไทยตั้งไว้ทุกต้นปี เป็นจริงได้อย่างไร?