posttoday

"ป๋าเปรมโมเดล" เกิดยาก แต่อาจมีปัจจัยพิเศษช่วย

31 สิงหาคม 2559

พล.อ.เปรม ดำรงตำแหน่งนายกฯ มาถึง 8 ปี โดยไม่เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองหรือลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยทุกพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งจะต้องเชิญ พล.อ.เปรม มาเป็นนายกฯ

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

หากใครจับสัญญาณทางการเมืองในระยะนี้ นับตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงผ่านประชามติแล้ว จะเห็นได้ว่าเริ่มมีการมองสถานการณ์แบบข้ามช็อตไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต โดยเฉพาะการโยนหินให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้งด้วยการใช้ “ป๋าเปรมโมเดล”

คำว่า ป๋าเปรมโมเดล ถูกจุดขึ้นมาโดย “วันชัย สอนศิริ” สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ซึ่งเป็นคนคิดคำถามพ่วงที่ถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ ที่ในช่วงระยะ 5 ปีแรกหลังจากการเลือกตั้งจะให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา

“พล.อ.ประยุทธ์จะดูตัวอย่างสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษก็ได้ ที่ไม่จำเป็นต้องลงเลือกตั้ง แต่ก็อยู่เป็นนายกฯ ถึง 8 ปี ขอให้บริหารจัดการประนีประนอมอำนาจทั้งในและนอกสภาให้ได้ทุกฝ่ายก็น่าจะเดินได้ เห็นได้จากผลประชามติที่ประชาชนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์กลายๆ อยู่แล้ว หากนับจากวันนี้ยิ่งสร้างผลงานไปเรื่อยๆ ถึงเวลาเลือกตั้งจะมีเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ สานต่อภารกิจต่อไปอีก 4 ปีแน่ๆ”เสียงเชียร์จากวันชัย

อย่างที่ทราบกันดีว่า พล.อ.เปรม ดำรงตำแหน่งนายกฯ มาถึง 8 ปี ช่วงระหว่างปี 2523-2531 โดยไม่เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองหรือลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยทุกพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งจะต้องเชิญ พล.อ.เปรม มาเป็นนายกฯ ซึ่งหากจะบอกว่า พล.อ.เปรม ถือเป็นต้นแบบของคำว่า “นายกฯ คนนอก” ก็คงไม่ผิดนัก

ระหว่างที่ พล.อ.เปรมดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ปรากฏว่าไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้ฝ่ายค้านในเวลานั้นจะพยายามรวบรวมรายชื่อ สส. เพื่อเปิดอภิปราย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ตลอดระยะเวลา 8 ปีของรัฐบาล พล.อ.เปรมค่อนข้างมีเสถียรภาพ

มาถึงเวลานี้ทฤษฎีเปรมโมเดลที่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นนายกฯ จะเป็นไปได้ในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันหรือไม่?

วิเคราะห์ในมิติของกฎหมายต้องถือว่ามีโอกาสสูง เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กำหนดให้นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเป็น สส.เหมือนกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ 2550 อีกทั้งร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ยังเปิดช่องให้รัฐสภามีมติเพื่อขอให้ที่ประชุมรัฐสภาเลือกนายกฯ จากบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีพรรคการเมืองได้ด้วย

ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมายที่เปิดกว้าง ย่อมเป็นพรมที่ปูให้ พล.อ.ประยุทธ์ เดินมาเป็นนายกฯ ได้ไม่ยากเย็นนัก

แต่ในทางกลับกัน หากวิเคราะห์บนปัจจัยทางการเมืองเป็นหลัก ต้องยอมรับว่าโอกาสที่ประเทศไทยจะได้นายกฯ ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” อีกครั้งมีน้อยหรือไม่มีทางเป็นไปได้เลย

การเลือกนายกฯ ในที่ประชุมรัฐสภาจะต้องรวบรวมเสียงให้ได้เกินกึ่งหนึ่ง คือ 376 จากสมาชิกรัฐสภา (สส. และ สว.) ทั้งหมด 750 คน ถามว่าลำพังเพียงแค่เสียงของ สว. 250 คน ที่มาจากการเลือกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมีพลังที่ต่อรองให้ฝ่ายการเมืองยอมให้หัวหน้า คสช. มาเป็นนายกฯ อีกหรือไม่

เมื่อมีการเลือกตั้ง มี สส. เท่ากับว่าอำนาจทางการเมืองกลับมาอยู่ในมือของนักการเมืองอีกครั้ง แน่นอนว่าไม่มีทางที่พรรคการเมืองจะยอมให้คนอื่นมาเป็นตาอยู่ไปอย่างแน่นอน โดยพรรคการเมืองเสียงข้างมาก จะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวได้เสียงสนับสนุนเกิน 376 เสียง เพื่อดันคนของพรรคขึ้นเป็นนายกฯ

เท่ากับว่าแม้ผลสำรวจคะแนนความนิยมของประชาชนที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์จะยังเชียร์นายกฯ ต่อ แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าพรรคการเมืองจะยอมให้ คสช.มาคอยเป็นเงาอีก ดังนั้น ถ้าประเมินโอกาสของ พล.อ.ประยุทธ์ จากปัจจัยนี้จึงพอสรุปได้ว่านายกฯ คนใหม่ต้องเป็นพลเรือน

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในอนาคตยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคุกรุ่นอยู่พอสมควร

ทั้งในเรื่องคดีความอาญาทางที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่ได้เป็นหลักประกันว่าถ้านายกรัฐมนตรีคนต่อไปมาจากพรรคการเมืองแล้วจะทำให้การเมืองสงบ และไม่สร้างปัญหาเหมือนที่เคยเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ 22 พ.ค. 2557

ตรงนี้เองอาจเป็นปัจจัยพิเศษที่ช่วยเปิดทางให้ พล.อ.ประยุทธ์มีสิทธิได้เป็นนายกฯ ต่อโดยไม่ต้องลงเลือกตั้ง เพราะอย่างน้อยที่สุดคนส่วนใหญ่มองย้อนไปในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ แม้ปัญหาเศรษฐกิจยังคาราคาซังอยู่ในภาวะทรงตัว แต่การที่ไม่มีกลุ่มผู้ชุมนุมตามท้องถนนย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในสถานการณ์ที่คนไทยมีตัวเลือกเพียงเท่านี้

ถึงเวลานั้นกระแสเรียกร้องที่ให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อจะเกิดขึ้นเหมือนกับเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ที่สังคมต้องการให้ พล.อ.เปรมเป็นนายกฯ ต่อไปเรื่อยๆ จน พล.อ.เปรมต้องประกาศว่าพอแล้ว

ดังนั้น ปัจจัยที่ชี้ขาดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯ ตามรูปแบบเปรมโมเดล จึงอยู่ที่กระแสและอารมณ์ของสังคมในเวลานั้น ถ้าพรรคการเมืองมองเห็นนัยของสังคม โอกาสที่จะยอมสละเก้าอี้ผู้นำประเทศให้กับ พล.อ.ประยุทธ์น่าจะเกิดขึ้น เพื่อให้ คสช.เข้ามาสานงานปฏิรูปประเทศให้จบ ก่อนส่งคืนอำนาจให้กับนักการเมืองอย่างสมบูรณ์ต่อไป

ข่าวล่าสุด

'นิวยอร์ก' คุมโซเชียล บังคับขึ้นคำเตือนอันตรายต่อสุขภาพจิตเยาวชน