เรียนสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ไปทำไม?
ผมเข้าใจว่าการเรียนวิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนไปประกอบวิชาชีพทางด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ และผมเห็นว่าเมื่อเรียนจบแล้ว การทำงานสังคมสงเคราะห์จึงเป็นอาชีพที่ต้องส่งเสริมให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมีความมั่นคงในชีวิต ส่วนคุณสมบัติผู้เรียนและผู้ประกอบวิชาชีพ ผมเห็นว่าต้องมีความเข้าใจมนุษย์ (คน) ต้องเรียนรู้ชีวิตผู้คนตั้งแต่เกิดจนตาย เพื่อให้เขาได้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข และมีความสามารถในการจัดการตนเอง พึ่งตนเองได้
ผมเข้าใจว่าการเรียนวิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนไปประกอบวิชาชีพทางด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ และผมเห็นว่าเมื่อเรียนจบแล้ว การทำงานสังคมสงเคราะห์จึงเป็นอาชีพที่ต้องส่งเสริมให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมีความมั่นคงในชีวิต ส่วนคุณสมบัติผู้เรียนและผู้ประกอบวิชาชีพ ผมเห็นว่าต้องมีความเข้าใจมนุษย์ (คน) ต้องเรียนรู้ชีวิตผู้คนตั้งแต่เกิดจนตาย เพื่อให้เขาได้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข และมีความสามารถในการจัดการตนเอง พึ่งตนเองได้
จึงเห็นว่างานสังคมสงเคราะห์ไปเกี่ยวข้องกับคนตั้งแต่อยู่ในครรภ์และเกิดมามีชีวิต จนกระทั่งตายไปในที่สุด เหมือนดังที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เขียนไว้ในบทความ “ปฏิทินแห่งความหวังจากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน” ซึ่งผมเห็นว่ามีความสอดคล้องกับการทำงานสังคมสงเคราะห์เป็นอย่างยิ่ง
ผมได้มีโอกาสมาร่วมงามปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ประจำปี 2559 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง จ.ลำปาง เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2559 โดยมีอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์) นำทีมคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยและคณบดีของคณะ ที่เปิดการเรียนการสอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ซึ่งผมในฐานะคณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เป็นคณะหนึ่งที่เปิดการเรียนการสอนด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ที่นี่มาร่วม 19 ปีแล้ว
สำหรับในปีนี้ (2559) คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มีนักศึกษาใหม่ในชั้นปีที่ 1 จำนวน 134 คน ซึ่งในจำนวนนี้มาจากการสอบตรง 64 คน และสอบผ่านส่วนกลางโดยระบบ Admission จำนวน 65 คน รวมทั้งเป็นนักศึกษาในโครงการพิเศษอีกจำนวน 5 คน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าในจำนวนนักศึกษา 134 คนนี้ เป็นนักศึกษาหญิงจำนวน 124 คน มีเพียง 10 คนเท่านั้นที่เป็นนักศึกษาชาย และเมื่อย้อนกลับไปดูปีก่อนหน้านี้ (2558) ซึ่งมีจำนวนนักศึกษาในปีนั้นจำนวน 141 คน ก็พบว่ามีนักศึกษาชาย 9 คนเท่านั้น และหากย้อนหลังไปอีก 2-3 ปี ก็พบสัดส่วนนักศึกษาหญิงกับนักศึกษาชายที่บ่งบอกได้ว่าการเรียนวิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์จะเป็นนักศึกษาผู้หญิงมากกว่าร้อยละ 85 ขึ้นไป และมีนักศึกษาชายโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 15 เท่านั้น
จากตัวเลขทำให้เข้าใจว่าการเรียนวิชาชีพสังคมสงเคราะห์และการทำงานสังคมสงเคราะห์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตเมื่อดูสัดส่วนผู้หญิงกับผู้ชาย ผมเห็นว่าวิชาชีพสังคมสงเคราะห์จะไปตกที่ผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายจะทำงานประเภทนี้ไม่ได้ เพียงแต่ว่าการเลือกเรียนวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ ผู้หญิงจะเป็นผู้เลือกเรียนมากกว่าผู้ชาย ทั้งนี้การเรียนวิชาสังคมสงเคราะห์ที่เปิดการเรียนการสอนอยู่ในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มีหลายสาขาวิชาที่ให้นักศึกษาเลือกเรียน เป็นต้นว่า (1) การเรียนสังคมสงเคราะห์ทางด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว (2) การเรียนสังคมสงเคราะห์ทางด้านผู้สูงอายุ (3) การเรียนสังคมสงเคราะห์ด้านกระบวนการยุติธรรม (4) การเรียนสังคมสงเคราะห์ทางด้านการแพทย์ (5) การเรียนสังคมสงเคราะห์ทางด้านแรงงาน สวัสดิการ (6) การเรียนสังคมสงเคราะห์ทางด้านพัฒนาชุมชน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การเรียนวิชาสังคมสงเคราะห์ก็ไปสัมพันธ์กับการเข้าสู่อาชีพการทำงานด้วย ซึ่งเห็นว่างานที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เยาวชน ครอบครัว ผู้สูงอายุ หรืองานทางด้านสาธารณสุขและการแพทย์ รวมทั้งงานที่เกี่ยวกับสวัสดิการสังคมที่เชื่อมโยงกับผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากไร้ และผู้ไร้ความสามารถทั้งหลาย จึงเป็นงานที่ผู้หญิงจะมีทักษะ เทคนิค ความชำนิชำนาญ และความละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชายก็อาจจะเป็นได้
ในส่วนที่กล่าวถึงการใช้เทคนิค ทักษะการทำงานวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ ผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องมีคุณลักษณะพิเศษ โดยเฉพาะการเข้าใจชีวิตผู้คน เข้าใจชุมชน สังคม และเข้าใจบุคคลที่ต้องได้รับการเยียวยาช่วยเหลือเป็นพิเศษ ทั้งที่เป็นผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากไร้ รวมทั้งผู้ไร้ความสามารถ ทั้งนี้เพราะนักสังคมสงเคราะห์ต้องมีกลยุทธ์ มีทักษะวิธีการ และเครื่องไม้เครื่องมือที่ได้รับการศึกษาอบรมบ่มเพาะที่จะส่งเสริมช่วยเหลือและสร้างสมรรถนะของคน (Self-Reliance) ให้เป็นคนที่สมบูรณ์ตามเป้าหมายดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็มีวิชาการต่างๆที่นักสังคมสงเคราะห์ต้องเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของจิตวิทยาสังคม การทำงานกับคน ทั้งรายบุคคล (Case Work) และรายกลุ่ม (Group Work) และวิชาศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม นี่คือความคิดหนึ่งที่ผมได้เกิดความคิดระหว่างที่ไปร่วมการเปิดปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง และได้ไปร่วมพบปะกับนักศึกษาใหม่ของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ทั้ง 134 คน โดยได้ไปแสดงความยินดี ให้กำลังใจ และเชิญชวนให้เขารักในวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ โดยเฉพาะการทำให้นักศึกษาเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนเลือกในวิชาชีพที่จะต้องจบออกไปทำงานที่เกี่ยวข้องกับคน เป็นต้นว่า การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ การส่งเสริมเพื่อนมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ จัดการตนเอง และพึ่งตนเองได้
ในระหว่างพักเที่ยง ผมได้มีโอกาสโดยการเชิญชวนของอธิการบดี ให้คณบดีมาร่วมรับประทานอาหารกับบุคคลสำคัญของธรรมศาสตร์ที่เป็นศิษย์เก่าและเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ ซึ่งวันนั้นก็มี ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และบุญชู ตรีทอง อดีตรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งผมได้ร่วมรับประทานอาหารด้วย และระหว่างรับประทานอาหาร ประเด็นหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอันเกี่ยวข้องกับงานสังคมสงเคราะห์ นั่นก็คือ การให้ความสนใจกับผู้สูงอายุและให้ความสำคัญกับชีวิตคนก่อนตาย ที่จะต้องส่งเสริมและหาวิธีการพบปะพูดคุย หรือให้การอบรมกับผู้คนที่อายุมาก และเตรียมตัวก่อนที่จะตาย ซึ่งผมเห็นว่านายกฯ ชวน และบุญชู ก็ได้กล่าวถึงประเด็นนี้อย่างน่าสนใจว่ามีหลายหน่วยทั้งในวงการแพทย์ และหน่วยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ดำเนินการที่เกี่ยวกับชีวิตผู้คนก่อนตายว่าจะทำอย่างไรให้เขาได้มองเห็นคุณค่าและประโยชน์ของชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ผมเองมีความเสียดายมากที่ไม่ได้มีโอกาสเรียนวิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ แต่ก็รักในวิชาชีพนี้อยู่เหมือนกัน เพราะผมชอบงานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคน ชุมชน ท้องถิ่น แต่ก็ใช้ประสบการณ์ที่เคยทำงานพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะการได้เคยทำงานที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่นมาตลอดระยะเวลา แม้ในปัจจุบันก็ยังใส่ใจงานพวกนี้ แต่ก็เห็นว่าวิชาชีพสังคมสงเคราะห์นั้นเป็นงานที่หนัก ท้าทาย และเห็นว่าต้องมีความสามารถพิเศษทั้งในแง่บุคลิกและความมีจิตใจอันดีงาม เพราะอาชีพนี้ต้องไปเกี่ยวข้องกับคนนับตั้งแต่เด็กแรกเกิด เด็กที่มีปัญหา เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษประเภทต่างๆ อีกมากมาย นี่คือกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ที่วิชาชีพสังคมสงเคราะห์ต้องเผชิญ และรอวันให้เข้าไปเยียวยาและแก้ปัญหา เพื่อให้คนเป็นคนอย่างสมบูรณ์


