posttoday

123 ปี เหตุการณ์ ร.ศ. 112

17 กรกฎาคม 2559

เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกายส่วนจิตต์บ่มีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึงแม้หายก็พลันยาก

โดย...ส.สต

“เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกายส่วนจิตต์บ่มีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึงแม้หายก็พลันยาก จะลำบากฤทัยพึงตริแต่จะถูกตรึง อุระรัดและอัตรากลัวเป็นทวิราช บ่ตริป้องอยุธยาเสียเมืองจึงนินทา บ่ละเว้นฤวางวาย”

กาพย์ห่อโคลงและลงท้ายคำ อินทรวิเชียรฉันท์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชนิพนธ์แสดงความทุกข์ระทมในพระราชหฤทัย ภายหลังเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2436 โดยประเทศไทยได้เสียดินแดนบางส่วนให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจที่เข้ามาล่าอาณานิคมในประเทศแถบอินโดจีน

เหตุการณ์นั้นผ่านมาแล้ว 123 ปี แต่กองทัพเรือไม่ลืม ยังพิธีรำลึกเมื่อวันที่  13 ก.ค. 2559 เวลา 16.30 น. ณ ป้อมพระจุลจอมเกล้า ฐานทัพเรือกรุงเทพ ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ในวาระครบรอบ 123 ปี

มูลเหตุ

ข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บเพจ กล่าวถึง 123 ปี วิกฤตการณ์ปากน้ำ ว่า ความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อเรือการข่าว “แองกงสตัง” (Inconstant) และเรือปืน “โกแมต” (Comete) ของกองทัพเรือฝรั่งเศสเดินทางมาถึงปากแม่น้ำและขออนุญาตแล่นเรือผ่านปากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อไปสมทบกับเรือ “ลูแตง” (Le Lutin) [1] เพื่อเจรจาต่อรอง เมื่อสยามปฏิเสธ ผู้บังคับบัญชาฝ่ายฝรั่งเศส พล.ร.ต.แอดการ์ อูว์มัน (Edgar Humann) เมินเฉยต่อความต้องการของสยามและคำสั่งจากรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งก่อนการต่อสู้ พล.ร.ต.อูว์มัน ได้รับคำสั่งห้ามเข้าสู่ปากแม่น้ำเพราะสยามได้เตรียมการอย่างดีสำหรับการรบ กองกำลังฝ่ายสยามประกอบด้วยป้อมพระจุลจอมเกล้าที่เพิ่งสร้างเสร็จ มีปืนเสือหมอบขนาด 6 นิ้ว 7 กระบอก สยามยังได้จมเรือสำเภาและเรือบรรทุกหินในแม่น้ำเพื่อเป็นแนวป้องกัน บีบให้เส้นทางเดินเรือกลายเป็นทางผ่านแคบๆ เพียงทางเดียว

เรือปืน 5 ลำ จอดทอดสมออยู่ด้านหลังแนวสิ่งกีดขวาง ประกอบไปด้วย เรือมกุฎราชกุมาร เรือทูลกระหม่อม เรือหาญหักศัตรู เรือนฤเบนทร์บุตรี และเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ มีเรือ 2 ลำ เป็นเรือรบทันสมัย คือ เรือมกุฎราชกุมารและเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ ขณะที่เรือที่เหลือเป็นเรือปืนเก่าหรือเรือกลไฟแม่น้ำที่ดัดแปลงมา มีการวางข่ายทุ่นระเบิด 16 ลูก ผู้บังคับบัญชาป้อมเป็นนายพลเรือชาวดัตช์ซึ่งเป็นหนึ่งในชาวยุโรปหลายคนที่เข้ารับราชการในกองทัพไทย พล.ร.ท.พระยาชลยุทธโยธินทร์ (อองเดร ดู เปลซี เดอ ริเชอลิเออ ชาวเดนมาร์ก) เป็นผู้บังคับบัญชาเรือปืน

เสียงปืนแตก

ฝรั่งเศสเลือกที่จะเข้าปากแม่น้ำหลังพระอาทิตย์ตกดินในวันที่ 13 ก.ค. โดยมีวัตถุประสงค์คือแล่นผ่านการป้องกันของสยามให้ได้ ถ้ามีการเปิดฉากยิงกันขึ้น สภาพอากาศครึ้มฝน ขณะนั้นสยามได้ประจำสถานีรบและเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด เรือรบฝรั่งเศสได้แล่นตามเรือกลไฟนำร่องฌองบัปติสต์เซย์ (Jean Baptiste Say) เข้าสู่ปากแม่น้ำ เมื่อเวลา 18.15 น. ฝนหยุดตก ทหารในป้อมสังเกตเห็นเรือรบฝรั่งเศสแล่นผ่านกระโจมไฟ 2-3 นาทีหลังจากนั้นเรือฝรั่งเศสแล่นผ่านทุ่นดำเข้ามาในระยะยิงของป้อม ทหารประจำป้อมได้รับคำสั่งให้ยิงเตือน 3 นัด แต่ถ้าฝรั่งเศสเพิกเฉยเรือปืนจะเปิดฉากยิง

เวลา 18.30 น. ป้อมปืนเปิดฉากยิงเตือนด้วยกระสุนเปล่า 2 นัด แต่เรือรบฝรั่งเศสยังคงแล่นต่อไป ในนัดที่ 3 สยามได้ใช้กระสุนจริงยิงเตือน กระสุนตกลงในน้ำหน้าเรือฌองบัปติสต์เซย์ เมื่อเห็นฝรั่งเศสเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือน นัดที่ 4 จากเรือปืนมกุฎราชกุมาร และมูรธาวสิตสวัสดิ์ ก็เปิดฉากยิงเมื่อเวลา 18.50 น. เรือแองกองสตองได้ยิงตอบโต้กับป้อมในขณะที่โกแมตยิงสู้กับเรือปืนสยาม มีเรือขนาดเล็กที่บรรจุระเบิดถูกส่งมาพุ่งชนเรือฝรั่งเศสแต่พลาดเป้า การต่อสู้กินเวลาประมาณ 25 นาที

ในที่สุด พล.ร.ต.อูว์มัน ก็พาเรือรบฝ่าการป้องกันของสยามไปได้ และสามารถจมเรือปืนฝ่ายสยามได้ 1 ลำ ส่วนอีกลำได้รับความเสียหายจากกระสุนปืน ทหารสยามตาย 10 นาย บาดเจ็บ 12 นาย ฝรั่งเศสได้รับความเสียหายน้อยกว่า ขณะที่ผ่านปากน้ำเรือฌองบัปติสต์เซย์ถูกยิงด้วยปืนใหญ่ ไปเกยตื้นที่แหลมลำพูราย เรือแองกองสตองและเรือโกแมตแล่นผ่านไปได้ถึงกรุงเทพฯ จอดทอดสมออยู่ที่สถานทูตฝรั่งเศส ทหารฝรั่งเศสตาย 3 นาย บาดเจ็บ 2 นาย เรือโกแมตถูกยิงได้รับความเสียหายมากกว่าเรือแองกองสตองแต่ไม่ได้เสียหายร้ายแรง ป้อมของสยามไม่ได้รับความเสียหาย

ภายหลังเหตุการณ์ยุติลง ฝรั่งเศสได้บีบบังคับให้มีการลงนามในสนธิสัญญาที่สยามต้องเสียเปรียบในทุกด้าน และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ สยามต้องยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง รวมถึงเกาะทั้งหมด ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของฝรั่งเศส รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 2.3 แสน ตร.กม. (ตารางกิโลเมตร) ยังความเสียพระราชหฤทัยแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก ดังที่ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเสนาบดี ที่ประชุมกันอยู่บนเรือพระที่นั่งมหาจักรี ว่า “ฉันรู้ตัวชัดอยู่ว่า ถ้าความเปนเอกราชของกรุงสยามได้สิ้นสุดไปเมื่อใด ชีวิตฉันก็คงจะสุดสิ้นไปลงเมื่อนั้น”

นับตั้งแต่ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศสยามได้เสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศส รวม 5 ครั้ง รวมเป็นพื้นที่ที่ต้องเสียให้กับฝรั่งเศสทั้งสิ้น 4.816 แสน ตร.กม. ทำให้ปัจจุบันพื้นที่ประเทศไทยเหลืออยู่เพียง 5.136 แสน ตร.กม.

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2