123 ปี เหตุการณ์ ร.ศ. 112
เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกายส่วนจิตต์บ่มีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึงแม้หายก็พลันยาก
โดย...ส.สต
“เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกายส่วนจิตต์บ่มีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึงแม้หายก็พลันยาก จะลำบากฤทัยพึงตริแต่จะถูกตรึง อุระรัดและอัตรากลัวเป็นทวิราช บ่ตริป้องอยุธยาเสียเมืองจึงนินทา บ่ละเว้นฤวางวาย”
กาพย์ห่อโคลงและลงท้ายคำ อินทรวิเชียรฉันท์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชนิพนธ์แสดงความทุกข์ระทมในพระราชหฤทัย ภายหลังเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2436 โดยประเทศไทยได้เสียดินแดนบางส่วนให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจที่เข้ามาล่าอาณานิคมในประเทศแถบอินโดจีน
เหตุการณ์นั้นผ่านมาแล้ว 123 ปี แต่กองทัพเรือไม่ลืม ยังพิธีรำลึกเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2559 เวลา 16.30 น. ณ ป้อมพระจุลจอมเกล้า ฐานทัพเรือกรุงเทพ ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ในวาระครบรอบ 123 ปี
มูลเหตุ
ข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บเพจ กล่าวถึง 123 ปี วิกฤตการณ์ปากน้ำ ว่า ความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อเรือการข่าว “แองกงสตัง” (Inconstant) และเรือปืน “โกแมต” (Comete) ของกองทัพเรือฝรั่งเศสเดินทางมาถึงปากแม่น้ำและขออนุญาตแล่นเรือผ่านปากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อไปสมทบกับเรือ “ลูแตง” (Le Lutin) [1] เพื่อเจรจาต่อรอง เมื่อสยามปฏิเสธ ผู้บังคับบัญชาฝ่ายฝรั่งเศส พล.ร.ต.แอดการ์ อูว์มัน (Edgar Humann) เมินเฉยต่อความต้องการของสยามและคำสั่งจากรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งก่อนการต่อสู้ พล.ร.ต.อูว์มัน ได้รับคำสั่งห้ามเข้าสู่ปากแม่น้ำเพราะสยามได้เตรียมการอย่างดีสำหรับการรบ กองกำลังฝ่ายสยามประกอบด้วยป้อมพระจุลจอมเกล้าที่เพิ่งสร้างเสร็จ มีปืนเสือหมอบขนาด 6 นิ้ว 7 กระบอก สยามยังได้จมเรือสำเภาและเรือบรรทุกหินในแม่น้ำเพื่อเป็นแนวป้องกัน บีบให้เส้นทางเดินเรือกลายเป็นทางผ่านแคบๆ เพียงทางเดียว
เรือปืน 5 ลำ จอดทอดสมออยู่ด้านหลังแนวสิ่งกีดขวาง ประกอบไปด้วย เรือมกุฎราชกุมาร เรือทูลกระหม่อม เรือหาญหักศัตรู เรือนฤเบนทร์บุตรี และเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ มีเรือ 2 ลำ เป็นเรือรบทันสมัย คือ เรือมกุฎราชกุมารและเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ ขณะที่เรือที่เหลือเป็นเรือปืนเก่าหรือเรือกลไฟแม่น้ำที่ดัดแปลงมา มีการวางข่ายทุ่นระเบิด 16 ลูก ผู้บังคับบัญชาป้อมเป็นนายพลเรือชาวดัตช์ซึ่งเป็นหนึ่งในชาวยุโรปหลายคนที่เข้ารับราชการในกองทัพไทย พล.ร.ท.พระยาชลยุทธโยธินทร์ (อองเดร ดู เปลซี เดอ ริเชอลิเออ ชาวเดนมาร์ก) เป็นผู้บังคับบัญชาเรือปืน
เสียงปืนแตก
ฝรั่งเศสเลือกที่จะเข้าปากแม่น้ำหลังพระอาทิตย์ตกดินในวันที่ 13 ก.ค. โดยมีวัตถุประสงค์คือแล่นผ่านการป้องกันของสยามให้ได้ ถ้ามีการเปิดฉากยิงกันขึ้น สภาพอากาศครึ้มฝน ขณะนั้นสยามได้ประจำสถานีรบและเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด เรือรบฝรั่งเศสได้แล่นตามเรือกลไฟนำร่องฌองบัปติสต์เซย์ (Jean Baptiste Say) เข้าสู่ปากแม่น้ำ เมื่อเวลา 18.15 น. ฝนหยุดตก ทหารในป้อมสังเกตเห็นเรือรบฝรั่งเศสแล่นผ่านกระโจมไฟ 2-3 นาทีหลังจากนั้นเรือฝรั่งเศสแล่นผ่านทุ่นดำเข้ามาในระยะยิงของป้อม ทหารประจำป้อมได้รับคำสั่งให้ยิงเตือน 3 นัด แต่ถ้าฝรั่งเศสเพิกเฉยเรือปืนจะเปิดฉากยิง
เวลา 18.30 น. ป้อมปืนเปิดฉากยิงเตือนด้วยกระสุนเปล่า 2 นัด แต่เรือรบฝรั่งเศสยังคงแล่นต่อไป ในนัดที่ 3 สยามได้ใช้กระสุนจริงยิงเตือน กระสุนตกลงในน้ำหน้าเรือฌองบัปติสต์เซย์ เมื่อเห็นฝรั่งเศสเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือน นัดที่ 4 จากเรือปืนมกุฎราชกุมาร และมูรธาวสิตสวัสดิ์ ก็เปิดฉากยิงเมื่อเวลา 18.50 น. เรือแองกองสตองได้ยิงตอบโต้กับป้อมในขณะที่โกแมตยิงสู้กับเรือปืนสยาม มีเรือขนาดเล็กที่บรรจุระเบิดถูกส่งมาพุ่งชนเรือฝรั่งเศสแต่พลาดเป้า การต่อสู้กินเวลาประมาณ 25 นาที
ในที่สุด พล.ร.ต.อูว์มัน ก็พาเรือรบฝ่าการป้องกันของสยามไปได้ และสามารถจมเรือปืนฝ่ายสยามได้ 1 ลำ ส่วนอีกลำได้รับความเสียหายจากกระสุนปืน ทหารสยามตาย 10 นาย บาดเจ็บ 12 นาย ฝรั่งเศสได้รับความเสียหายน้อยกว่า ขณะที่ผ่านปากน้ำเรือฌองบัปติสต์เซย์ถูกยิงด้วยปืนใหญ่ ไปเกยตื้นที่แหลมลำพูราย เรือแองกองสตองและเรือโกแมตแล่นผ่านไปได้ถึงกรุงเทพฯ จอดทอดสมออยู่ที่สถานทูตฝรั่งเศส ทหารฝรั่งเศสตาย 3 นาย บาดเจ็บ 2 นาย เรือโกแมตถูกยิงได้รับความเสียหายมากกว่าเรือแองกองสตองแต่ไม่ได้เสียหายร้ายแรง ป้อมของสยามไม่ได้รับความเสียหาย
ภายหลังเหตุการณ์ยุติลง ฝรั่งเศสได้บีบบังคับให้มีการลงนามในสนธิสัญญาที่สยามต้องเสียเปรียบในทุกด้าน และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ สยามต้องยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง รวมถึงเกาะทั้งหมด ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของฝรั่งเศส รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 2.3 แสน ตร.กม. (ตารางกิโลเมตร) ยังความเสียพระราชหฤทัยแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก ดังที่ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเสนาบดี ที่ประชุมกันอยู่บนเรือพระที่นั่งมหาจักรี ว่า “ฉันรู้ตัวชัดอยู่ว่า ถ้าความเปนเอกราชของกรุงสยามได้สิ้นสุดไปเมื่อใด ชีวิตฉันก็คงจะสุดสิ้นไปลงเมื่อนั้น”
นับตั้งแต่ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศสยามได้เสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศส รวม 5 ครั้ง รวมเป็นพื้นที่ที่ต้องเสียให้กับฝรั่งเศสทั้งสิ้น 4.816 แสน ตร.กม. ทำให้ปัจจุบันพื้นที่ประเทศไทยเหลืออยู่เพียง 5.136 แสน ตร.กม.


