ลอกคราบ 18 มงกุฏ แอบอ้างเบื้องสูงต้มตุ๋น
สุดจะเพ้อเจ้อคิดว่าตนเองเป็นราชสกุลเที่ยวแอบอ้างหลอกลวงชาวบ้านชาวช่องจนตกเป็นเหยื่อมากมาย.....
สุดจะเพ้อเจ้อคิดว่าตนเองเป็นราชสกุลเที่ยวแอบอ้างหลอกลวงชาวบ้านชาวช่องจนตกเป็นเหยื่อมากมาย.....
โดย...ธนก บังผล
สุดจะเพ้อเจ้อคิดว่าตนเองเป็นราชสกุลเที่ยวแอบอ้างหลอกลวงชาวบ้านชาวช่องจนตกเป็นเหยื่อมากมาย ของจริงมักไม่เบ่ง แต่ของเก๊ทั้งเบ่งทั้งกร่างไปทั่ว แล้วก็เบ่งจนได้เรื่อง เพราะดันไปเบ่งกับตำรวจ
เดือน ก.พ.ที่ผ่านมา สน.บางเขน จับ 2 ผู้ต้องหาแอบอ้างเป็น “หม่อม” คนแรกคือ ปริญช์ มาลากุล ณ อยุธยา อายุ 42 ปี อีกคนคือ จุฬาลักษณ์ ฟอสเตอร์ หรือที่บอกให้ใครต่อใครเรียกตัวเองว่า “หม่อมอุ๋มอิ๋ม” อายุ 28 ปี
2 คนนี้เหิมเกริมหลอกลวงไปทั่วจนได้ใจ ถึงขั้นริบังอาจปลอมลายพระหัตถ์ราชสกุลชั้นสูง แต่ปลอมเรื่องอะไรไม่ปลอม ดันไปปลอมว่า ห้ามไม่ให้ตำรวจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ แล้วเอาเอกสารไปมอบให้ตำรวจถึงบน สน.บางเขน เพื่อให้อำนวยความสะดวก
บังเอิญว่าวันนั้น พ.ต.อ.พัฒนา เพศยนาวิน ผกก.สน.บางเขน ติดภารกิจจึงให้ พ.ต.ท.พิเชษฐ์ ฟูสินไพบูลย์ รอง ผกก.สส.สน.บางเขน เป็นผู้ดำเนินการแทน
ในเอกสารอ้างถึงราชสกุลดังขอไม่ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเรื่องสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปกป้องและควรดูแลบุคคลสำคัญในราชสกุลชั้นสูง
อุ๊ยตายว้ายกรี๊ด ช่างคิดเนอะ ยังไม่พอ คงกลัวคนอื่นเขาไม่เชื่อ ยังปลอมแปลงลายพระนามตราประทับราชสกุลด้วย เมื่อตำรวจเห็นเอกสารดังกล่าวจึงไม่กล้าตัดสินใจ แต่ก็ดำเนินการรับเรื่องเอาไว้ และแนะนำให้มาพบ ผกก.สน.บางเขน ในวันรุ่งขึ้น
แค่ทะลึ่งแอบอ้างดึงฟ้าลงต่ำไม่พอ ช่วงค่ำวันเดียวกัน ปริญช์ มาลากุล ณ อยุธยา อ้างว่าเป็นเลขาฯ ของ จุฬาลักษณ์ ได้นำเอกสารชุดเดิมมายื่นให้กับ ผกก.สน.บางเขน อีกครั้ง
“ด้วยความไม่แน่ใจ กลัวจะมีการแอบอ้าง ผมจึงประสานไปยังสำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ เพื่อตรวจสอบเอกสารดังกล่าวว่าเป็นของจริงหรือไม่ เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเป็นเอกสารปลอม จึงควบคุมตัวผู้แอบอ้างไว้สอบปากคำ” พ.ต.อ.พัฒนา เล่าให้ฟัง
อยู่ดีๆ ก็เดินมาให้จับอย่างนี้ก็เลยลองตรวจสอบประวัติของ จุฬาลักษณ์ ก็พบว่า เคยต้องคดีอาญาที่ สน.บางชัน ในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลตัดสินจำคุกเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2545
พอตรวจสอบชื่อกับสำนักงานทะเบียนราษฎร พบว่าเปลื่ยนชื่อในบัตรประชาชน จากชื่อเดิมมาเป็น “ม.ล.จุฬาลักษณ์” นอกจากนี้ยังพบนามบัตรและเอกสารจัดตั้งมูลนิธิหม่อมเจ้าหญิงกิติปปิยา กิติยากร เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อนำเงินที่ได้รับการบริจาคมาใช้ส่วนตัว
เมื่อตรวจละเอียดก็พบว่า ผู้ต้องหามักจะทำตัวเป็นหัวคิวลิขสิทธิ์ ที่ตลาดนัดหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดัง มิหนำซ้ำยังเปลี่ยนคำนำหน้าของลูกเป็น “หม่อมหลวง” ด้วย...สุดๆ ไปเลย
เพี้ยนจัดขนาดนี้ หม่อม (เก๊) อุ๋มอิ๋ม เลยถูกรวบพร้อมเลขานุการ โดนตั้งข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ทำให้ประชาชนหรือผู้อื่นได้รับความเสียหาย และใช้เอกสารปลอม
มุขเก่าๆ ที่หม่อมเก๊จะใช้หลอกบ่อยที่สุดคือ เอาตำแหน่งมาล่อให้พวกไฮโซไฮซ้อที่อยากเป็นคุณหญิงคุณนายจนเนื้อเต้นได้หน้ามืด
ล่าสุดที่ตำรวจจับได้ กรกฎ หรือ สุริยันต์ ฝอยกระโทก หรือ เพ็ชรสูงเนิน ชาว อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา จับตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำแล้วอุปโลกน์ว่าเป็น “ม.ร.ว.วรวิทย์”
คดีนี้ 18 มงกุฎถูกจับได้เพราะสำนักพระราชวังแจ้งมายังตำรวจ เพราะตรวจพบว่ามีบุคคลแอบอ้างชื่อว่าเป็น ม.ร.ว.วรวิทย์ ส่งเอกสารหนังสือราชการทางโทรสารไปหลายจังหวัด อาทิ ชัยภูมิ น่าน พิษณุโลก อำนาจเจริญ นครศรีธรรมราช หนองคาย ชุมพร และสุโขทัย
หมิ่นฟ้าแอบอ้างเบื้องสูงให้ผู้ว่าราชการจังหวัดคัดเลือกบุคคลเพื่อเข้ารับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีสิทธิใช้คำนำหน้า “คุณหญิง” จังหวัดละ 1-2 คน พร้อมเอกสารหลักเกณฑ์คัดเลือก
แค่นี้พ่อเมืองหลายจังหวัดก็หลงเชื่อ และคัดเลือกบุคคลรวมถึงโทรศัพท์ติดต่อกลับไปยัง ม.ร.ว.เก๊ 18 มงกุฎรายนี้ยังมีหน้าส่งเอกสารกลับมาแจ้งอีกว่า ให้คุณหญิงใหม่ทั้ง 13 คนที่ (หลอกว่า) ได้รับการคัดเลือก
แสดงความพร้อมและช่วยส่งเสริมผลิตภัณฑ์ศูนย์ศิลปาชีพ โดยให้ตัดชุดผ้าไหมราคา 3.5 หมื่นบาท เข็มประจำตำแหน่งอีกชุดละ 2 หมื่นบาท พร้อมบริจาคสมทบกองทุนศิลปาชีพ โดยชำระจ่ายผ่านธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกบ้านแขก โดยมีบุคคลใน จ.กาฬสินธุ์ หลงเชื่อโอนเงินให้จำนวน 1.05 แสนบาท
ตรวจสอบประวัติอาชญากร หม่อมเก๊ 18 มงกุฎ พบว่ากระทำผิดอาญามาแล้ว 7 ครั้ง ในฐานความผิดลักทรัพย์และฉ้อโกง โดยแอบอ้างบุคคลอื่นในลักษณะเดียวกัน และเพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ จ.นครราชสีมา เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แล้วมาก่อเหตุคดีอีกจนถูกจับได้|คาหนังคาเขาพร้อมหลักฐานการแอบอ้าง
18 มงกุฎกรกฎรับสารภาพว่าก่อเหตุจริง ทำเพียงคนเดียว และเรียนรู้วิธีการทำเอกสารปลอมจากเพื่อนๆ ในเรือนจำ และทางอินเทอร์เน็ต ค้นหาข้อมูลจากกูเกิล และหมายเลขโทรศัพท์สายด่วนรับเรื่องร้องทุกข์ของสำนักนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1111 โดยเงินที่ได้จะนำมาใช้จ่ายส่วนตัว เพราะไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งหลังพ้นโทษ
จะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่มีการหลอกลวงใช้ “หม่อม” เป็นเครื่องมือ ไม่เว้นแม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ระดับผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้พิพากษาก็ไม่กล้าสงสัย เพราะเชื่อว่าคงไม่มีใครบังอาจดึงฟ้าต่ำ เลยทำให้ 18 มงกุฎเหล่านี้ย่ามใจก่อเหตุบ่อยครั้ง แต่ถึงกระนั้นบาปกรรมก็ตามสนองจนแทบจะเรียกได้ว่าทันตาเห็น ชนิดกรรมติดจรวด !!!


