posttoday

คุ้มครองเงินฝาก

14 มิถุนายน 2559

โดย...รุจิระ บุนนาค

โดย...รุจิระ บุนนาค

เงินฝากธนาคารนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทั่วไป เพราะเมื่อประชาชนมีเงินหรือได้รับเงินมาเป็นจำนวนมาก หากเก็บไว้เองอาจเกิดอันตรายจากการถูกจี้ ปล้น หรือสูญหายได้ แต่เมื่อฝากเงินไว้กับธนาคารจะได้รับความปลอดภัยเพราะธนาคารจะเป็นผู้ดูแลและเก็บรักษาไว้ให้กับประชาชนที่เป็นผู้ฝากเงิน

เงินฝากธนาคารมีหลายประเภท เช่น เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ เงินฝากกระแสรายวัน และเงินฝากสกุลต่างประเทศ แต่ละประเภทจะให้ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนแตกต่างกันไป ยกเว้นเงินฝากกระแสรายวันที่ไม่มีดอกเบี้ย

ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในปัจจุบันจะมีอัตราต่ำอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.50-2.00 ต่อปี ล่าสุดธนาคารทหารไทยได้ประกาศงดจ่ายดอกเบี้ย แต่เมื่อถูกคัดค้านมากจนต้องกลับมาให้ดอกเบี้ยตามเดิม 

หากเปรียบเทียบกับอัตราเงินฝากธนาคารกับเมื่อ 40-50 ปีก่อน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารจะสูงถึงร้อยละ 14 ต่อปี และหากฝากไว้กับสถาบันการเงินประเภทบริษัทเงินทุนจะได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 19 ต่อปี  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยระดับนั้นไม่มีอีกแล้ว

แม้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในประเทศไทยจะไม่สูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น เช่น ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซื้อตราสารหนี้ หรือซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนประเภทต่างๆ แต่ยังนับว่ามีโอกาสดีกว่าหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่ผู้ฝากเงินธนาคารไม่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากมาเป็นเวลานานแล้ว และธนาคารในประเทศญี่ปุ่นกำลังพิจารณาจะเรียกเก็บค่าบริการจากลูกค้าผู้ฝากเงินธนาคารเสียด้วยซ้ำ

เงินฝากธนาคารถือว่ามีความมั่นคงสูง ในอดีตเมื่อธนาคารบางแห่งประสบปัญหาขาดทุนต้องเลิกกิจการ รัฐบาลจะรับผิดชอบชดใช้จำนวนเงินฝากให้ประชาชนอย่างครบถ้วน จนเป็นที่มาของการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากตามพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551

สถาบันคุ้มครองเงินฝากมีหน้าที่คือ (1) รับผิดชอบในการจ่ายเงินคืนผู้ฝากในกรณีที่สถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองเงินฝากถูกเพิกถอนใบอนุญาตหรือถูกปิดกิจการ (2) ทำหน้าที่เก็บเงินจากสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากที่ได้นำส่งเพื่อสะสมไว้เป็นกองทุน สำหรับจ่ายเงินคืนให้กับผู้ฝาก (3) ชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตหรือถูกปิดกิจการ เพื่อนำเงินมาชำระคืนเจ้าหนี้ของสถาบันการเงินนั้น

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสถาบันคุ้มครองเงินฝาก แนวความคิดของรัฐบาลในยุคต่อมาเริ่มเปลี่ยนไปว่า จะไม่ให้ความคุ้มครองเต็มจำนวนเงินที่ฝาก ซึ่งถือตามหลักเศรษฐศาสตร์ว่า หากคุ้มครองเต็มจำนวนวงเงิน จะทำให้ผู้ฝากเงินไม่ต้องรับผิดชอบผลใดๆ เลยจากการตัดสินใจลงทุนของตนเอง ซึ่งทำให้เกิดพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง เช่น การนำเงินทั้งหมดไปฝากในสถาบันการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยไม่คำนึงถึงความมั่นคงของสถาบันการเงินเลย

จึงเป็นที่มาว่า รัฐบาลในยุคก่อนได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ.  2555 ที่จำกัดจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง และต่อมาได้ขยายเวลาที่จะคุ้มครองเพิ่มขึ้น จึงออกพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น

จนมาถึงรัฐบาลปัจจุบันเมื่อปลายเดือน เม.ย. 2559 รัฐบาลได้ขยายเวลาลดเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท จากที่จะเริ่มต้นในวันที่ 11 ส.ค. 2559 โดยให้เลื่อนออกไปอีก 4 ปี คือให้เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 ส.ค. 2563 เป็นต้นไป โดยกระทรวงการคลังจะออกเป็นร่าง พ.ร.ฎ.กำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ... โดยมีสาระสำคัญปรับลดความคุ้มครองบัญชีเงินฝากดังนี้

11 ส.ค. 2559-10 ส.ค. 2561 ปรับลดจาก 25 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 15 ล้านบาท

11 ส.ค. 2561-10 ส.ค. 2562  ” 15 ล้านบาท ” 10 ล้านบาท 

11 ส.ค. 2562-10 ส.ค. 2563 ” 10 ล้านบาท  ” 5 ล้านบาท

11 ส.ค. 2563-เป็นต้นไป ปรับลดเป็นไม่เกิน 1 ล้านบาท

การปรับลดความคุ้มครองดังกล่าวเป็นแบบขั้นบันได คือ มีการทยอยลดระดับการคุ้มครองลงมาเป็นลำดับ เพื่อให้ประชาชนผู้ฝากเงินได้มีการปรับตัว ซึ่งย่อมจะเป็นประโยชน์กับทั้งประชาชนและระบบสถาบันการเงิน

การที่รัฐบาลแก้ไขขยายระยะเวลาถือเป็นเรื่องดี การลดจำนวนเงินให้ความคุ้มครองเพียงแค่ 1 ล้านบาท ย่อมสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน เพราะเมื่อปี 2558 เพิ่งปรับลดจากวงเงิน 50 ล้านบาท มาเป็น 25 ล้านบาท หากทำตามกรอบระยะเวลาตามเดิม คือ 11 ส.ค. 2559 ที่ให้ความคุ้มครองเพียงแค่ 1 ล้านบาท อาจทำให้ประชาชนพากันแห่ถอนเงินออกจากสถาบันการเงิน โดยเฉพาะคนวัยเกษียณที่ต้องอาศัยเงินที่ตนเก็บสะสมมาค่อนชีวิต

แม้สหรัฐอเมริกาที่ตลอดเวลายึดมั่นกับนโยบายที่ว่าจะไม่นำเงินภาษีอากรของประชาชนไปกอบกู้ช่วยเหลือสถาบันการเงินภาคเอกชนที่ประสบปัญหาจากการดำเนินงานผิดพลาด แต่เมื่อถึงคราวเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ทางการเงินในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลสหรัฐได้ให้การช่วยเหลือโดยเข้าโอบอุ้มสถาบันการเงินในประเทศ เช่น ในปี 2551 ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve หรือ FED) ได้ให้เงินกู้ 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แก่อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงก์ (American International Group Inc., หรือ AIG) ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ เพื่อไม่ให้ต้องประสบภาวะล้มละลาย

เรื่องการลดความคุ้มครองเงินฝากธนาคารถือเป็นของร้อน ซึ่งเป็นนโยบายที่ตกทอดมาจากรัฐบาลยุคก่อนๆ คงต้องติดตามและจับตากันต่อไป อาจมีการต่อเวลาหรือขยายเวลาไปอีกจนไม่มีกำหนดที่แน่นอนก็เป็นไปได้

ข่าวล่าสุด

SME D Bank จัด 'Culture Day' ขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร "ประสานพลัง-พัฒนาเรียนรู้" สู่การเติบโต