posttoday

อำนาจ อิทธิพล และบารมี

12 มิถุนายน 2559

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

วิชาการเมืองยุคแรกๆ สนใจศึกษาเรื่องอำนาจ

ตำรารัฐศาสตร์แบ่งยุคต่างๆ ของการศึกษาการเมืองออกเป็น 3 ยุคใหญ่ๆ เริ่มจากยุคแรก เรียกว่ายุคคลาสสิก ที่อาจจะเรียกด้วยคำง่ายๆ ว่า “ยุคโบราณ” ที่เริ่มเมื่อราว 2,500 ปีที่แล้ว ในสมัยที่ปราชญ์ชาวกรีกมาพูดคุยกันในเรื่องผู้ปกครองและการปกครองที่ดี ได้แก่ โสกราติส เพลโต และอริสโตเติล ต่อด้วยสมัยที่ผู้ปกครองในจักรวรรดิโรมันที่มีบันทึกสั่งการเกี่ยวกับกฎหมาย เพื่อให้การปกครองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จนถึงสมัยที่คริสต์ศาสนาครอบงำยุโรป วิชาการเมืองก็ถูก “ปิดมืด” ไปในยุคมืดนี้

ยุคมืดเป็นสมัยที่ผู้คนไม่กล้าเถียงพระ แต่เมื่อมีนักปราชญ์เริ่มค้นหาเหตุผลมาอธิบายถึงธรรมชาติและความรู้ต่างๆ แล้วมีการ “แอบ” เถียงพระไปในคนหลายหมู่เหล่า ก็เกิดการปฏิวัติด้านวิชาการในหลายๆ แขนงไปทั่วยุโรป รวมทั้งนักปราชญ์ทางด้านรัฐศาสตร์ ที่ชื่อ นิโคโล แมคเคียเวลลี่ ที่แอบเถียงพระอ้อมๆ ว่า “อำนาจ” ของผู้ปกครองนั้นไม่ได้มาจากพระผู้เป็นเจ้า แต่เป็นของมนุษย์เดินดินนี่แหละ ที่คิดแย่งชิงอำนาจให้ได้มา แสวงหาอำนาจให้มากขึ้น และรักษาอำนาจไว้ให้นานที่สุด จึงเป็นที่มาของการศึกษาการเมืองสมัยใหม่ ที่สลัดออกจากความคิดอันเพ้อฝัน แต่หันมาศึกษาความจริงและสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์จริงทางการเมือง

วิชาการเมืองในยุคที่สองนี้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก จากแนวคิดแบบอำนาจนิยมของแมคเคียเวลลี่ ทำให้มีนักปราชญ์คนอื่นๆ ออกมาโต้เถียง กระทั่งเกิดแนวคิดการเมืองแบบเสรีนิยม ที่มองถึงสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์เป็นสำคัญ ได้แก่ จอห์น ล็อค ฌอง โบแด็ง ฌัง ฌาร์ค รุซโซ และมองเตสกิเออร์ อันเป็นที่มาของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน แต่กระนั้นก็ยังมีปราชญ์คนอื่นๆ คิดค้นวิธีการปกครองที่แยกย่อยออกไป ด้วยการศึกษาการพัฒนาของสังคมร่วมกับประวัติศาสตร์ กระทั่งเกิดจินตนาการไปถึงการปกครองในรูปแบบอุดมคติอื่นๆ ได้แก่ ระบอบสังคมนิยม ที่รวมถึงลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นด้วย

วิชาการเมืองยุคใหม่มามีการศึกษาอย่างคึกคักอีกครั้งในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่โลกอยู่ในยุคสงครามเย็น โดยได้มีการแข่งขันกันระหว่างแนวคิดกลุ่มเสรีประชาธิปไตยที่นำโดยสหรัฐอเมริกา กับแนวคิดกลุ่มสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่นำโดยสหภาพโซเวียตรัสเซีย แต่เมื่อปรากฏว่าแนวคิดทั้งสองค่ายนี้ประสบความล้มเหลวในหลายประเทศที่บริวารของทั้งสองกลุ่ม จึงได้มีแนวคิดที่จะสร้างระบบการเมืองที่เป็น “อัตลักษณ์” ของแต่ละประเทศเอง อันนำมาสู่ยุคของการศึกษาการเมืองในปัจจุบัน ที่เรียกว่า “ยุคหลังสมัยใหม่”

แม้จะมาอยู่ในยุคหลังสมัยใหม่ แต่การศึกษาเกี่ยวกับอำนาจก็ยังเป็นแกนแนวคิดที่สำคัญของวิชาการเมือง โดยนักคิดในยุคหลังสมัยใหม่ก็ยังถกเถียงกันว่า “อำนาจทางการปกครอง” ที่รวมถึงอำนาจอธิปไตย หรืออำนาจสูงสุดนั้น ควรจะอยู่หรือมีที่มาจากใคร บางคนก็บอกว่าต้องอยู่ที่ประชาชนสิ เพราะในระบอบประชาธิปไตยนั้นประชาชนเป็นผู้มอบอำนาจให้แก่ผู้ปกครอง ผู้ปกครองเป็นแค่ “ตัวแทน” ประชาชน ประชาชนสามารถเปลี่ยนแปลงและถอดถอนผู้ปกครองได้ผ่านกระบวนการเลือกตั้งและระบบรัฐสภา

แต่บางคนก็บอกว่าแท้ที่จริงแล้ว อำนาจอธิปไตยนั้นอยู่ในมือของชนชั้นปกครองนั่นเอง เพียงแต่อ้างประชาชนและอาศัยกระบวนการทางประชาธิปไตย ให้ประชาชนแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การเลือกตั้ง การตรวจสอบ และการร่วมคิดร่วมทำ (ตามแต่ที่ผู้ปกครองจะกำหนดขึ้น) เพื่อมารองรับอำนาจของผู้ปกครองนั้นให้มีความชอบธรรม รวมถึงที่บอกว่าแม้ประชาชนจะรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายประชาสังคม ก็ยังไม่อาจจะมีอำนาจเท่าเทียมกับผู้ปกครองได้ เพราะอำนาจของประชาชนนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา

นักรัฐศาสตร์ยุคหลังสมัยใหม่ (ที่จริงน่าจะเรียกว่านักรัฐศาสตร์ร่วมสมัยคือยังมีชีวิตอยู่มากกว่า) บางสำนักมองว่า อำนาจที่มอบให้กับผู้ปกครองไปแล้วนั้นยากที่ประชาชนจะเรียกคืน เพราะผู้ปกครองจะมีความฉลาดในการ “พัฒนาอำนาจ” โดยจะพัฒนาออกไปใน 2 ลักษณะ ด้านหนึ่งก็คือ นำอำนาจนั้นไปสร้างเป็น “อิทธิพล” อันเป็นอำนาจในรูปแบบที่ลึกลับ หรือบางท่านเรียกว่า “ด้านมืดของอำนาจ” หรืออำนาจในด้านลบ อีกด้านหนึ่งก็นำไปสร้างเป็น “บารมี” ที่เป็น “ด้านสว่างของอำนาจ” หรืออำนาจในด้านดี

มีความจริงอย่างหนึ่งที่นักรัฐศาสตร์ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ศึกษาไว้ คือ “คุณลักษณะของอำนาจ” ว่า “ใครจะมีอำนาจมากหรือน้อย” นั้นจะต้องพิจารณาองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ หนึ่ง “ชนิดของอำนาจ” ที่หมายถึงอำนาจนั้นรองรับด้วยอะไร เช่น อำนาจตามรัฐธรรมนูญ (ประชาธิปไตยหรือเผด็จการจำแลง) หรืออำนาจนอกรัฐธรรมนูญ (เผด็จการหรือรัฐประหาร) อำนาจที่สร้างด้วยตัวเอง หรือมีคนอื่นมอบให้ (สร้างให้) สอง “พิสัยของอำนาจ” คือความครอบคลุม หรือ “อาณาเขต” ของอำนาจ ที่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของผู้มีอำนาจ เช่น เป็นทหารก็มีอำนาจเฉพาะในกองทัพ เป็นนายกรัฐมนตรีก็มีอำนาจเฉพาะในรัฐบาล เป็นกำนันผู้ใหญ่บ้านก็มีอำนาจอยู่ในเขตปกครองของตน และสาม “การรักษาและพัฒนาอำนาจ” ที่ขึ้นอยู่กับ “ความฉลาดและความเชี่ยวชาญ” ของผู้ได้อำนาจนั้นๆ อันเป็นส่วนที่ยากที่สุด เพราะหมายถึงความยั่งยืนของอำนาจที่มีอยู่

คนที่ได้อำนาจไปแล้วดีแต่ “ฮึ่มๆ” จ้องข่มขู่ผู้อื่น ก็เป็นได้แค่ “ผู้มีอิทธิพล”

แต่ถ้าทำให้คน “มีความหวัง” เขาก็จะยกย่องท่านเป็น “ผู้มากบารมี”

ข่าวล่าสุด

คนละครึ่งพลัส หนุน “พาสต้า บ่? - มีลาภ อุบลฯ" ยอดขายพุ่ง แชมป์ร้านต่างจังหวัดขายดี