จากนาโน ถึงพิโคไฟแนนซ์
โดย..กนกวรรณ บุญประเสริฐ
โดย..กนกวรรณ บุญประเสริฐ
กระทรวงการคลังได้พยายามหาเครื่องมือในการจัดการกับปัญหาหนี้นอกระบบตลอดเวลา เพราะเป็นหน่วยงานหลักที่รัฐบาลสั่งการให้เข้าไปแก้ไขหนี้ครัวเรือน เนื่องจากเป็นผู้ดูแลและกำกับธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ (แบงก์รัฐ) ทั้งธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เป็นต้น ซึ่งแบงก์รัฐนั้นมีพันธกิจในการก่อตั้งที่ชัดเจน ในการเป็นมือไม้ในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล
ลูกหนี้ระดับฐานรากนี้ แบ่งออกเป็น 2-3 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ใช้แรงงานทั่วไป พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ แผงลอย กลุ่มที่ประกอบอาชีพการเกษตร และกลุ่มผู้ทำธุรกิจเอสเอ็มอีรายเล็กๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะได้รับการช่วยเหลือที่แตกต่างกัน
กลุ่มแรก ผู้ใช้แรงงานทั่วไป พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ แผงลอย ธนาคารออมสินมักจะได้รับภารกิจในการช่วยเข้าไปช่วยเหลือ โดยสิ่งที่ทำไปแล้วคือให้ธนาคารออมสินอัดเงิน 6 หมื่นล้านบาท เข้าไปให้กองทุนหมู่บ้านเพื่อให้ไปปล่อยกู้ต่อ โดยให้ชาวบ้านไปทำโครงการใช้เงินมาเสนอ และปล่อยกู้ให้แม่ค้าหาบเร่และแผงลอย ล่าสุด สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ธนาคารออมสินไปคิดรูปแบบการแก้หนี้นอกระบบมา
สำหรับลูกหนี้กลุ่มเกษตรกร แน่นอนว่า ธ.ก.ส.จะเข้ามามีบทบาทในการแก้ไข ส่วนกลุ่มเอสเอ็มอี ก็มอบให้เอสเอ็มอีแบงก์ไปคิดวิธีการจัดการ
กลุ่มคนที่มีหนี้สูงที่สุดส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเอสเอ็มอีฐานราก ที่เป็นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าแผงลอย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักจะหยิบยืมเงินจากเจ้าหนี้นอกระบบเสมอ ส่วนนี้รัฐบาลพยายามแก้ไขด้วยการออกประกาศจัดตั้ง “นาโนไฟแนนซ์” เพื่อผู้ประกอบการที่สนใจ อย่างปล่อยเงินกู้เข้ามาสู่ระบบ ต้องมีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดยครั้งนี้จำกัดการปล่อยกู้ไว้เพื่อการค้า ให้กู้ได้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 1 แสนบาท จะมีหรือไม่มีหลักประกันก็ได้ คิดดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมต้องไม่เกินที่กฎหมายกำหนดคือ 36%
ที่ผ่านมา มีผู้ยื่นขอทำธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ 27 ราย แต่มีการเปิดดำเนินการจริง 12 ราย ซึ่งทั้งหมดได้ปล่อยสินเชื่อจนถึงสิ้นเดือน ม.ค. 2559 มีการให้กู้แล้วจำนวน 9,433 ราย เป็นวงเงินรวม 195 ล้านบาท ถือว่าต่ำกว่าเป้าหมาย ตามเดิมที่หวังว่านาโนไฟแนนซ์ จะมาอัดเงินเข้าระบบได้เป็นพันเป็นหมื่นล้านบาท และล่าสุด ณ สิ้นเดือน เม.ย. 2559 มีการให้สินเชื่อแล้วจำนวน 1.86 หมื่นราย เป็นวงเงินรวม 443.6 ล้านบาท (วงเงินเฉลี่ย 2 หมื่นบาท/ราย) เนื่องจากมีสถาบันการเงินและผู้ประกอบการที่มีความสามารถเข้ามาเปิดให้บริการเพิ่มเป็น 16 ราย
สาเหตุหลักๆ ที่ปล่อยกู้ไม่ได้ เริ่มจากประชาชนในระดับฐานรากไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้ คิดว่าเป็นจากรัฐบาล หวังว่าจะได้แจกฟรี ขณะที่ลูกค้าบางรายเมื่อได้กู้แบบไม่มีหลักประกันแล้ว ก็ปิดโทรศัพท์มือถือ ย้ายห้อง ย้ายแผงหนีเจ้าหนี้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการนาโนไฟแนนซ์ต้องปรับตัวใหม่ เริ่มชะลอการปล่อยกู้แบบเห็นได้ชัด และเริ่มเรียกหลักประกันในรายที่คิดว่ามีความเสี่ยง และล่าสุดเมื่อมีผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ทำธุรกิจเข้ามาให้บริการเพิ่ม ทำให้กระบวนการอนุมัติสินเชื่อมีรูปแบบ และมีทิศทางการปล่อยกู้ที่ดีขึ้น
แม้นาโนไฟแนนซ์ที่เริ่มไปแล้ว ยังไม่มีผลงานที่เด่นชัดว่าจะเข้ามาแทรกแซงตลาดช่วยเหลือประชาชนได้มากนัก แต่กระทรวงการคลังก็ไม่ย่อท้อ ล่าสุดได้ปรับแผนรับมือแก้หนี้นอกระบบครั้งใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีการเสนอเป็นแพ็กเกจเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆ นี้ โดยกระทรวงการคลังจะเสนอตั้ง “พิโคไฟแนนซ์” เน้นปล่อยกู้เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ให้กู้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 5 หมื่นบาท ดอกเบี้ยคิดเท่ากันไม่เกิน 36%
กฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า แพ็กเกจแก้หนี้นอกระบบที่จะเสนอครั้งนี้ จะเป็นการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง เพราะจะมีการใช้มาตรา 44 เพื่อจัดการเจ้าหนี้นอกระบบ แล้วกระทรวงการคลังจะเปิดให้เจ้าหนี้เหล่านี้หรือคนที่สนใจ สามารถมาประกอบธุรกิจปล่อยกู้รายย่อย หรือทำพิโคไฟแนนซ์ สามารถมาขอใบอนุญาตทำพิโคไฟแนนซ์ได้ โดยลดทุนจดทะเบียนเหลือ 5 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์ปล่อยกู้หลักๆ 2 เรื่องคือ ให้แก้หนี้นอกระบบ และใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ แบบไม่มีหลักประกัน
ข้อต่างของพิโคไฟแนนซ์กับนาโนไฟแนนซ์ คือ พิโคไฟแนนซ์จะสนับสนุนให้เจ้าหนี้ หรือผู้ประกอบการในต่างจังหวัดทั่วประเทศลุกขึ้นมาทำเรื่องนี้ โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามปล่อยกู้ข้ามเขต หรือข้ามจังหวัด โดยให้กู้เพื่อไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ส่วนนาโนไฟแนนซ์จะเน้นปล่อยกู้ในเมือง เพราะเป็นการปล่อยกู้ให้พ่อค้าแม่ค้าเอาเป็นทุนในการประกอบอาชีพ
ขณะที่ ธ.ก.ส.และธนาคารออมสิน กระทรวงการคลังได้สั่งให้ตั้งฝ่ายหรือหน่วยงานเพื่อทำเรื่องการแก้หนี้นอกระบบโดยเฉพาะ เพื่อให้งานมีความต่อเนื่องและมีการเก็บฐานข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งในกรณีของแบงก์รัฐ คาดว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาลูกหนี้ของธนาคารซึ่งอาจจะมีวงเงินที่ปล่อยกู้ต่อ รายได้ได้สูงกว่าพิโคไฟแนนซ์และนาโนไฟแนนซ์
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะให้สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นันแบงก์) อย่างสหกรณ์ออมทรัพย์ กองทุนหมู่บ้าน ที่มีขนาดและมีความแข็งแรงให้ยกฐานะขึ้นเป็นธนาคารเพื่อให้เป็นแหล่งทุนที่ท้องถิ่นพึ่งพิงได้ในอนาคต


