ทดสอบวัคซีนไข้เลือดออกครั้งแรกของโลก
ราชบุรี ทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนไข้เลือดออกครั้งแรกของโลก
ราชบุรี ทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนไข้เลือดออกครั้งแรกของโลก
นายสมศักดิ์ โยนกพันธุ์ รองผวจ.ราชบุรี เป็นประธานในโครงการทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนไข้เลือดออกในเด็กครั้งแรกของโลกที่ห้องประชุมราชพฤกษ์ โรงแรม เวสเทิร์น แกรนด์ เขตเทศบาลเมืองราชบุรี ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและมหาวิทยาลัยมหิดล คณะเวชศาสตร์เขตร้อน โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณอรุณี ทรัพย์เจริญ หัวหน้าโครงการศึกษาวิจัย ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกในเด็กอายุ 4 ถึง 11 ปี
ทั้งนี้โครงการทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนไข้เลือดออกในเด็กนั้น ได้คัดเลือกพื้นที่อำเภอเมืองของ จ.ราชบุรี เป็นพื้นที่ทดสอบเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีผู้ป่วยไข้เลือดออกมากที่สุดในประเทศไทย มากกว่า 3,000 คน มีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 คน มีจำนวนโรงเรียนมาก ประกอบกับประชาชนในพื้นที่ให้ความร่วมมือดี จึงได้ทำการคัดเลือกให้เป็นพื้นที่ทดสอบ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลก
เนื่องจากโรคไข้เลือดออกนั้นเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งแพร่กระจายโดยการถูกยุงกัด คนที่ได้รับเชื้อไวรัสเดงกีเข้าไปจะทำให้เกิดมีอาการไข้สูง ปวดศรีษะอย่างรุนแรง และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ถ้าอาการรุนแรงจะทำให้เกิดภาวะเลือดออก ความดันโลหิตลดลงฉียบพลันและอาจทำให้เสียชีวิตได้ และในวัยเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี จะมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกได้มากที่สุด และโรคไข้เลือดเลือดออกก็ยังไม่มียาเฉพาะรักษา ทำได้เพียงการควบคุมยุงซึ่งเป็นพาหนะของโรคเท่านั้น
สำหรับวัคซีนที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วยวัคซีนศึกษาและวัคซีนควบคุม ซึ่งเป็นของบริษัท ซาโนฟี่ปาสเตอร์เอสเอ ผลิตจากเชื้อที่อ่อนแรงและมีส่วนประกอบบางส่วนจากวัคซีนไข้เหลือง และการศึกษาในครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเคยทำการศึกษามาก่อนแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์และเม็กซิโก โดยทดสอบในเด็กที่อายุตั้งแต่ 2 ปี จนถึงผู้ใหญ่ที่มีอายุ 45 ปี พบว่าวัคซีนศึกษามีความปลอดภัยและสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคไข้เลือดออกได้
อย่างไรก็ตามไม่ทราบว่าป้องโรคได้หรือไม่ เพราะทำการศึกษาในพื้นที่ที่มีโรคไข้เลือดน้อย ทางมหาวิทยาลัยมหิดลจึงได้นำมาทำการศึกษาต่อ โดยใช้เวลา 4 ปี กับเด็กอาสาสมัครจำนวน 4,002 คน เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 จนถึง พ.ศ.2556 ซึ่งขณะนี้ได้ทำการฉีดวัคซีนให้กับอาสามัครไปแล้วจำนวน 2 เข็ม ยังเหลืออีก 1 เข็มซึ่งจะฉีดให้ครบในช่วงเดือน ต.ค.2553 ถึง ม.ค.2554 ในส่วนของอาสาสมัครที่ได้ทำการฉีดวัคซีนไปแล้วนั้นยังไม่เกิดผลกระทบใดๆโดยได้ทำการประสานกับทางโรงเรียนและครูผู้สอนเพื่อติดตามพฤติกรรมของอาสาสมัคร ซึ่งเชื่อว่าผลการศึกษาวิจัยในครั้งนี้จะนำไปสู่การแปรผลว่าจะเป็นวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกได้หรือไม่


