ในความหลัง
โดย...ศุภมิตร ปิติพัฒน์
โดย...ศุภมิตร ปิติพัฒน์
ไม่เพียงแต่คนเท่านั้นที่มีความหลัง สถาบันต่างๆ เองก็มีอดีตให้จดจำสำหรับเข้าใจความเป็นมาเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นรากฐานและให้ความหมายแก่สิ่งที่เป็นอยู่และกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ถ้าอยากเข้าใจปัจจุบันว่ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร วิธีหนึ่งที่ดีคือให้ย้อนพิจารณาอดีต ที่จะช่วยให้รู้ต้นสายปลายเหตุที่ส่งให้เราลงสู่เส้นทางสายหนึ่งจนมาถึงปัจจุบันอย่างที่เป็น แทนที่จะเป็นเส้นทางสายอื่นๆ ที่เป็นไปได้ แต่ไม่ได้เป็น
สถาบันต่างๆ มักมีการสร้างความเข้าใจอดีตขึ้นมาเป็นประวัติศาสตร์ทางการสำหรับถ่ายทอดความทรงจำ ที่จะช่วยปลูกฝังคุณค่าและความหมายชุดหนึ่งให้แก่บุคลากรของตน และเพื่อสะท้อนให้คนอื่นๆ เข้าใจเอกลักษณ์ของตนในกรอบของคุณค่าและความหมายที่ปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าทางการนั้น เป็นของแน่ว่า อดีตที่ผ่านมาแล้วย่อมมีเรื่องราวหลากหลาย และมีความหมายให้ทำความเข้าใจแตกต่างกันได้เป็นหลายแบบ แต่ที่สำคัญคือเรื่องราวและความหมายของอดีตแต่ละแบบทำงานส่งผลต่อปัจจุบันไม่เหมือนกัน ถ้ามีใครมาเปลี่ยนการเล่า เปลี่ยนการจำและความทรงจำที่ทำให้เราเข้าใจตัวเราเปลี่ยนไปจากเดิม มันจะเปิดทางให้การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นตามมาได้อีกมาก
ด้วยเหตุนั้น จึงน่ารู้เหมือนกันว่าสถาบันสำคัญทางการปกครองและเกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยอย่างสถาบันตุลาการเข้าใจอดีตของตนอย่างไร ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่ามีใครศึกษาเรื่องนี้ไว้บ้าง แต่เพิ่งพบหนังสือเล่มหนึ่งที่สถาบันตุลาการจัดทำขึ้นในนามของศาลยุติธรรม เล่าเรื่องราวการเสด็จพระราชดำเนินเหยียบศาลยุติธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่างๆ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันตุลาการกับสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนั้นเรื่องราวในหนังสือ ๘๔ พรรษาพระภูมิบาล รอยเสด็จฯ ภูมิสถาน ศาลยุติธรรม ยังแทรกความทรงจำของบรรพตุลาการบางคนเข้ามาในประวัติศาสตร์ของสถาบันบางตอน เพื่อให้บทเรียนจากอดีตส่งความหมายถึงปัจจุบัน
เนื้อที่ไม่พอให้เล่าถึงเนื้อหาของหนังสือที่เรียบเรียงไว้อย่างน่าติดตามตลอดทั้งเล่ม แต่มีเรื่องหนึ่งที่สะดุดใจทำให้คิดถึงปัญหานี้ขึ้นมา นั่นคือความพยายามของคณะผู้ก่อการ 2475 ที่จะรักษาระบอบใหม่จากปฏิปักษ์ภายนอก และจากอริและการหักล้างกันเองภายในระหว่างผู้ก่อการ สร้างผลกระทบอย่างไรต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศ คำตอบจากประวัติศาสตร์นิพนธ์เรื่องนี้ โดยคนนอกวงตุลาการคงแบ่งเป็นหลายฝ่าย แต่ภายในวงตุลาการและนักกฎหมาย เองก็มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ และสืบทอดจากอาจารย์สู่ศิษย์ จากบรรพตุลาการถึงนักกฎหมายรุ่นหลัง แล้วแต่ว่าใครจะรับถ่ายทอดความรู้และความชำนาญทางวิชาชีพมาจากสายใด แต่ละสายก็คงมีเรื่องเล่าให้รับรู้และเข้าใจแผกกันไป
อย่างในหนังสือเล่มนี้ นำเรื่องราวที่หลวงประกอบนิติสารและพระสุทธิอรรถนฤมนตร์มาเล่าไว้ว่า “การใช้อำนาจด้วยจิตระแวงของฝ่ายรัฐบาล” นำไปสู่การจับกุมคุมขังท่านแรกขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้รั้งอธิบดีผู้พิพากษาศาลมณฑลนครศรีธรรมราชในข้อหากบฏ และการออกคำสั่งของรัฐมนตรียุติธรรมให้ท่านหลังต้องพ้นตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง เมื่อเห็นว่าไม่ดำเนินการออกคำสั่งยึดพระราชทรัพย์ก่อนที่จะมีคำพิพากษาในทางที่รัฐบาลประสงค์ ตามด้วยคำสั่งให้ออกจากราชการ โดยรัฐมนตรียุติธรรมผู้นั้นบอกคุณพระฯ ว่า “ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ต้องออกจากราชการเพราะการเมือง”
หลวงประกอบนิติสารนั้นในเวลาต่อมาท่านได้เป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วยผู้หนึ่ง และมีบทบาทอย่างสูงในการออกแบบรัฐธรรมนูญ 2492 ให้ออกมาเป็นต้นแบบสำคัญแตกต่างไปจากแนวทางของผู้นำคณะราษฎร และควรแก่การเทียบเคียงกับฉบับปัจจุบัน ส่วนพระสุทธิอรรถนฤมนตร์ท่านบันทึกบทเรียนของท่านว่า การที่มีคนพูดว่า “ไม่ทำตามใจเขา” ท่านถือว่า “เป็นคำชม เพราะเข้าใจว่าคำกล่าวตอนนี้หมาย ความว่าข้าพเจ้าไม่ได้บิดปากกาเพื่อทำตามใจเขา ถ้าข้าพเจ้าบิดปากกา ปากกานั้นจะทิ่มแทงหัวใจข้าพเจ้าให้ปวดร้าวไปตลอดชีวิต เป็นผู้พิพากษาจะมีอคติไม่ได้เป็นอันขาด”
จุดเริ่มต้นของการแทรกแซงอำนาจตุลาการจะเริ่มต้นขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นในเงื่อนไขใด และการแทรกแซงที่เกิดขึ้นต่อๆ มานับแต่จุดตั้งต้นนั้น ทิ้งผลพวงอะไรไว้ในประเพณีนิติธรรมและการปกครองของประเทศนี้ ยังเป็นประวัติศาสตร์การยุติธรรมที่รอผู้ศึกษา ระหว่างที่รอ ข้าพเจ้าขอฝากคำของหลวงวิจิตรวาทการที่คาดการณ์ไว้คล้อยหลังการเปลี่ยนแปลง 2475 ไม่นานให้ท่านคิดกลับโดยแยบคาย
“มีผู้เห็นว่ากิจการที่คณะราษฎรทำไปนั้น เป็นการใหญ่หลวงเท่ากับพลิกแผ่นดิน แผ่นดินที่พลิกใหม่ๆ ถ้าไม่ยึดไว้ให้มั่นคง มันก็อาจจะพลิกกลับได้ ... ถ้าเจ้าไม่ยอมเข้ากับ ‘คณะราษฎร’ ก็จะต้องยกสิทธิของราษฎรให้สูงกว่าเจ้า จะต้องเกียจกันมิให้เจ้าเข้ามีสิทธิในรัฐสภา เพื่อให้ราษฎรคงรักษาสิทธิและอำนาจของตนอยู่ได้เต็มที่ แต่ปัญหาก็ยังมีต่อไปว่า ในบรรดาคนที่ไม่ใช่เจ้านั่นเอง จะไม่มีบ้างหรือที่ยังเป็นคนรักเจ้าถ้าหากยังมีราษฎรที่รักเจ้าอยู่อีก จะไม่ทำการขัดขวางแก่ทางดำเนินการของคณะราษฎรบ้างหรือ เมื่อกลัวกันเช่นนี้อีก ก็มีอยู่อีกทางเดียวที่จะต้องดำเนิน คือ ต้องตั้งกองทหารพิเศษสำหรับ ‘คณะราษฎร’ ขึ้น และ ‘คณะราษฎร’ จะต้องรั้งอำนาจในการปกครองเข้าไว้ให้นานที่สุดที่จะนานได้ ‘คณะราษฎร’ จะต้องดำเนินแบบฟาสซิสต์ของอิตาลีอย่างแท้จริง”


