ขัตติยา อินทรวิชัย แม่ทัพหญิงคนแรกของกสิกรไทย

โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง

อาจไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ หรือเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ในแวดวงการเงินการธนาคาร แต่ ขัตติยา อินทรวิชัย เป็นผู้หญิงคนแรกที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย นับเป็นกรรมการผู้จัดการคนที่ 9 ของธนาคารแห่งนี้ และเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การเงินหน้าใหม่ ด้วยการจัดโครงสร้างการบริหารโดยมีกรรมการผู้จัดการร่วมบริหารพร้อมกันเป็น “ทรีโอ”

กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ในขณะนี้มี 3 คน คือ ปรีดี ดาวฉาย ธีรนันท์ ศรีหงส์ และ ขัตติยา อินทรวิชัย โดยจะใช้นโยบายรวม 3 ประสานขับเคลื่อนองค์กรการเงินชั้นนำของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับทุกสภาวะเศรษฐกิจ

ขัตติยา กล่าวว่า งานที่ได้รับมอบหมายให้ทำขณะนี้คืองานในส่วนของ HR ดูแลบุคลากร ดูแลไอทีในฝั่งของธนาคาร ผลิตภัณฑ์ต่างๆ บัญชี และตัวเลขทางด้านการเงิน ซึ่งงานส่วนนี้เดิมเป็นงานที่ ธีรนันท์ เป็นผู้ดูแลอยู่ แต่ปัจจุบันธีรนันท์ได้รับมอบหมายให้ไปดูแล บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)

ขัตติยา กล่าวว่า ภารกิจสำคัญในปีนี้คือ การควบคุมค่าใช้จ่ายของธนาคาร เพราะว่ารายได้ไม่สูงเหมือนเดิม ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี สินทรัพย์ก็จะด้อยคุณภาพลง ซึ่งจะต้องดูแลคุณภาพสินทรัพย์ให้ดี ส่วนต่างรายรับอัตราดอกเบี้ยแคบลง ขณะนี้ธนาคารก็ปรับระบบด้านไอทีและประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้เยอะ หลังจากตั้ง KBTG เพราะเดิมธนาคารเอาต์ซอร์สงานไอทีออกไปจ้างบริษัท ไอบีเอ็ม ทำทั้งหมด แต่ปัจจุบันธนาคารดึงมาทำเองหมด โดยที่รับพนักงานของไอบีเอ็มมาเป็นพนักงานแบงก์ ซึ่งก็ประหยัดสัญญาจ้างไอบีเอ็มไป เพราะไอทีมีความสำคัญกับแบงก์มากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องดึงงานนี้กลับมาทำเอง

นอกจากนี้ ก็คุมการใช้งบประมาณด้านการตลาดไม่ให้เพิ่ม เพราะจากเศรษฐกิจที่ไม่เติบโต การอัดเงินเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ รวมทั้งการบริหารจัดการบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะในฝั่งของรายได้ปีนี้ก็โตน้อยลง เช่น รายได้ค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) เดิมเติบโต 15-16% ปีนี้ก็คาดว่าเติบโตราว 12-13% ก็เก่งแล้ว หากคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ผลประกอบการโดยรวมก็ยังเติบโตได้ ส่วนฝั่งรายได้ดอกเบี้ยปีนี้ก็คงเติบโตยาก น่าจะใกล้เคียงกับ ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ปีนี้ก็น่าจะทรงตัว และไม่น่าจะต่ำไปกว่านี้แล้ว

สำหรับการดูแลเอ็นพีแอล อย่างแรกคือ การปรับเครดิตสกอริ่งที่ใช้ในการอนุมัติให้เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเอสเอ็มอีที่เป็นเจ้าของและเป็นบุคคล ซึ่งกลุ่มนี้อาจต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนการตั้งสำรองของแบงก์ปัจจุบันความเพียงพอของเงินกองทุนก็ยังมีอยู่ค่อนข้างมาก แต่ก็ต้อง ตั้งสำรองให้เหมาะสมกับคุณภาพหนี้ของธนาคาร

ขณะที่นโยบายบริหารความเสี่ยง ธนาคารเน้นกระจายความเสี่ยงค่อนข้างมาก จากช่วงที่ผ่านมาธนาคารมีส่วนแบ่งการตลาดสินเชื่อกลุ่มเอสเอ็มอีเยอะ เน้นลูกค้าเอสเอ็มอี แต่ตอนนี้ต้องปรับขยายกลุ่มลูกค้ารายย่อยและลูกค้าคอร์ปอเรตขนาดใหญ่มากขึ้น โดยในกลุ่มเอสเอ็มอี ธนาคารไม่ได้มีการขยายฐานลูกค้าใหม่ ส่วนใหญ่ก็เป็นการดูแลลูกค้าเดิม สินเชื่อยังขยายแต่ไม่ได้บุกหนักเหมือนในช่วงก่อนหน้านี้

“ขณะนี้นั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการมา 4 เดือนกว่าแล้ว ถามว่างานยากไหม ก็ยาก ตอนเป็นรองกรรมการผู้จัดการก็ต้องยกระดับทีมให้แข็งแกร่ง ตัวเลขก็ขึ้นเยอะ แต่พอมาเป็นกรรมการผู้จัดการโจทย์ก็ยากไปอีกแบบ รองกรรมการผู้จัดการทุกคนเก่งหมด มีความคิดที่หลากหลาย มากมายหลายรูปแบบ เราต้องทำให้ทุกฝ่ายซินเนอร์จีงานเข้าด้วยกัน ต้องทำให้คนเก่งทั้งหมดอยู่ด้วยกันได้ ถ้าเกิดการไม่ยอมกันขึ้นมาก็ต้องทำให้เขาคุยกันให้ได้ ตรงนี้ความเป็นผู้หญิงช่วยได้มาก เพราะจะทำให้ดูนุ่มนวลลง” ขัตติยา กล่าว

ความใจเย็นรับฟังอย่างนุ่มนวลในตัวเองของขัตติยา เธอยกความดีนี้ให้บิดา 

“คนที่เป็นไอดอลของตัวเอง ตอบได้เลยว่าคุณพ่อ (สังเวียน อินทรวิชัย) คุณพ่อบอกเสมอว่าท่านไม่เก่งแต่ท่านขยัน เป็นคนใจเย็น เป็นคนรับฟังทุกคน ไม่เคยได้นั่งทำงานกับคุณพ่อ แต่ได้อ่านหนังสือที่ระลึกงานศพของคุณพ่อ ทุกคนที่เขียนไว้อาลัยท่านพูดถึงท่านในมุมนี้ น่าจะจริงอย่างที่ท่านว่า ท่านไม่เก่งแต่พร้อมที่จะฟัง เอาข้อดีของทุกคนมารวมกัน และท่านเป็นคนขยันมาก ทำงานจนวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน” ขัตติยา กล่าว

ขัตติยา กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ได้มาจากบิดาคือการรับฟังคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีในการทำงาน ทำให้เราคุยได้กับทุกคน ใครมีปัญหาเดินเข้ามาปรึกษาได้ เรายินดีที่จะฟัง และเราก็ไม่อายที่จะถามในเรื่องที่เราไม่รู้ เช่นเรื่องดิจิทัลแบงก์กิ้งเป็นเรื่องใหม่ กรรมการผู้จัดการไม่ได้เทพทุกคน ไม่อวดรู้ ไม่รู้ต้องถามให้รู้ เราก็จะฉลาดขึ้นด้วย

ฉะนั้น การก้าวสู่ดิจิทัลแบงก์ของธนาคารกสิกรไทย ไม่ได้หมายถึงว่าจะออกผลิตภัณฑ์เป็นดิจิทัลตอบโจทย์ตลาดเพียงอย่างเดียว แต่พนักงานทั้งองค์กรต้องทำงานแบบดิจิทัล ไม่ใช่ทำให้เร็วขึ้น หรือทำให้ต้นทุนถูกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคิดใหม่ทำใหม่

“การเป็นดิจิทัลก็ไม่ใช่แค่ว่ามี เคโมบายแบงก์กิ้ง มีเอทีเอ็ม มีซีดีเอ็มต่างๆ แต่พนักงานต้องดิจิทัลแบงก์ไปด้วย ดังนั้นความท้าทายของเคแบงก์ในปีนี้ ไม่ใช่เรื่องปัญหาหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ที่ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง เพราะเรื่องเอ็นพีแอลถือเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับธุรกิจธนาคาร แต่ความท้าทายในระยะข้างหน้าของธุรกิจธนาคารก็คือ ลูกค้ามีทางเลือกเพิ่มขึ้น มีแหล่งหาข้อมูลต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นหากธนาคารตอบโจทย์ไม่ทันหรือไม่ดีพอ ลูกค้าก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการจากคู่แข่งอื่นๆ ซึ่งอาจไม่ใช่แบงก์ก็ได้ ที่เทคโนโลยีสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว นี่คือความท้าทายของธุรกิจธนาคาร เพราะพฤติกรรมลูกค้าอาจเปลี่ยนไปโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว” กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าว

การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ทำให้ธุรกิจธนาคารเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ธุรกิจแบงก์ทำได้ยากขึ้น ทั้งกติกา กฎระเบียบต่างๆ บาเซิล 3 หรือ บาเซิล 4 ที่จะมาในอนาคต หรือมาตรฐานบัญชีต่างๆ ที่ทำให้ธนาคารต้องสำรองเงินทุนมากมาย ซึ่งกฎพวกนี้ก็จะทำให้แบงก์ทำธุรกิจยากขึ้น

อีกด้านก็คือเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนเป็นดิจิทัล ซึ่งจะทำให้ไม่มีพรมแดนว่าเป็นประเทศไทยหรือเออีซี ขณะที่ฟินเทคเข้ามาตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีมาก ด้วยต้นทุนถูกมาก ฉะนั้นทำให้การทำธุรกิจยากมาก เหนื่อยกันมากขึ้น ในอนาคตเราไม่ได้แข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ด้วยกัน แต่เราแข่งขันกับคนอื่นแล้ว คู่แข่งมีมากมายกว้างขวางมาก

ดังนั้น ทำอย่างไรจะเข้าใจลูกค้าได้เร็วที่สุด พัฒนาบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ และสื่อความให้กับลูกค้ารับรู้ว่าเรามีบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าหันมาใช้บริการของเรา

สำหรับตัวเลขเอ็นพีแอลที่ยังค่อยๆ โผล่ขึ้นมา ก็เป็นเรื่องปกติเมื่อเศรษฐกิจยังชะลอตัว แม้ว่า ปีนี้เศรษฐกิจนิ่งๆ ไม่ได้แย่ลง แต่เอ็นพีแอลก็อาจยังไหลเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่องจาก
ปลายปีที่เศรษฐกิจไม่เติบโต สำหรับธนาคารคาดว่า เอ็นพีแอลจะทรงตัวในปลายปีนี้ 

แม้จะเพิ่งนั่งตำแหน่งใหญ่ในธนาคารกสิกรไทยไม่นาน แต่เพราะเป็นลูกหม้อของธนาคารจึงไม่ต้องปรับตัวนานและเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรเป็นอย่างดี สะท้อนออกมาในรูปของการยอมรับเอ็มดีหญิงคนแรกของธนาคารกสิกรไทยคนนี้