รุมค้านข้อเสนอกม.รอกำหนดโทษเพื่อปรองดอง
บิ๊กป้อม เผย ไม่เห็นด้วยแนวคิด กฎหมายรอกำหนดโทษเพื่อปรองดอง เกรงเกิดความขัดแย้ง ด้าน "อกนิษฐ์" มองข้อเสนอพายเรือวนในอ่าง
บิ๊กป้อม เผย ไม่เห็นด้วยแนวคิด กฎหมายรอกำหนดโทษเพื่อปรองดอง เกรงเกิดความขัดแย้ง ด้าน "อกนิษฐ์" มองข้อเสนอพายเรือวนในอ่าง
เมื่อวันที่ 10 พ.ค. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงข้อเสนอของนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)ที่เสนอกฎหมายรอการกำหนดโทษเพื่อความปรองดอง ว่า เรื่องนี้ขอให้ไปถาม สปท. แต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะออกมาทำให้เกิดความขัดแย้ง ยุ่งยากทำไม เพราะสถาการณ์ขณะนี้ก็ดีอยู่แล้ว ขอปล่อยให้เดินตามโรดแมปดีกว่า เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญออกมาเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากันต่อไป พร้อมยืนยันว่าเรื่องนี้ ตนไม่ได้เป็นคนสั่งการ เพราะเป็นเรื่องที่ทาง สปท. คิดและทำกันเอง แต่ถึงอย่างไร คสช. ก็คงไม่ต้องไปชี้แนะอะไรปล่อยให้ดำเนินการไป
ด้าน พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะผู้ที่เคยเสนอตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุข กล่าวว่า ข้อเสนอดังกล่าวเหมือนพายเรือวนในอ่าง พอเสนอมามีแต่คนออกมาค้าน ฝั่งหนึ่งบอกว่าจะเหมาเข่งหรือไม่ มีเงื่อนไขเป็นอย่างไร อีกฝั่งหนึ่งก็พูดไปอีกทาง ไม่พ้นกลายเป็นความขัดแย้งอีก ต่างจากสิ่งที่ส่วนตัวเคยเสนอตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุข ที่ได้ก้าวข้ามคำว่าปรองดองไปแล้ว แต่เน้นหาทางว่าในอนาคตประเทศของเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ส่วนตัวกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ประสานตัวบุคคลมาร่วมงาน แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ขอให้ชะลอไว้ก่อน เกรงว่าคนจะสับสน เพราะอยู่ระหว่างกระบวนการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ส่วนตัวไม่รู้ว่านายเสรีนำแนวคิดนี้มาจากไหน สนช.เองก็ไม่มีร่างกฎหมายลักษณะนี้อยู่ มองว่าแนวคิดนายเสรี มีหนทางยังอีกยาวไกล ต้องผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ก่อน ซึ่งไม่รู้ว่ากมธ.การเมืองสปท.เองจะเห็นด้วยกับนายเสรีหรือไม่เลย จากนั้นต้องผ่านความเห็นชอบจากวิปแม่น้ำ 3 สาย และด่านสุดท้ายต้องผ่าน สนช. ในฐานะผู้พิจารณากฎหมาย
ขณะที่ นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 กล่าวว่า ข้อเสนอดังกล่าวเป็นการโยนหินถามทาง ไม่มีทางสำเร็จ และไม่มีใครสามารถยอมรับได้ และจะมีคนออกมาต่อต้านจำนวนมาก
ทั้งนี้ การนิรโทษกรรมต้องไม่แยกกลุ่ม เพราะกรณีพันธมิตรฯยึดสนามบิน และเสื้อแดงเผาศาลากลางมีความเสียหายไม่ต่างกัน ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต่างจากการนิรโทษกรรมแบบสุดซอยของพรรคเพื่อไทย การแบ่งแยกจะสร้างความขัดแย้งชุดใหม่ บางเรื่องเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมมากเกินไป เช่น การใช้มาตรา 44 กับคดีเล็กๆ
"หากทำจริงคนที่ตาย เจ็บ และติดคุกก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เวลานี้คดีเล็กๆ คนที่ติดคุกก็จะพ้นโทษหมดแล้ว เหลือเพียงคดีใหญ่ซึ่งก็อยู่ในขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว หากจะนิรโทษกรรมเห็นว่าควรเอาผลการศึกษาชุดของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตประธานคณะอนุกรรมธิการว่าด้วยการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มาพิจารณาจะเป็นที่ยอมรับของสังคมมากกว่า ทำแบบนี้ถือว่าเป็นการกินรวบเหมือนรวบปากถุง แต่ในถุงมีอะไรบ้างก็ไม่รู้ เชื่อว่าไม่มีใครเห็นด้วยกับนายเสรี ต้องมีการดำเนินการกับแกนนำกับเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่ละเว้นเจ้าหน้าที่ไว้ เพราะคดีน้องเกดผลสอบก็ออกมาแล้วว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ จึงเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่สำเร็จแน่นอน"นางพะเยาว์กล่าว