รับมืออย่างไร กับการค้าโลกยุคใหม่
โดย...ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์
โดย...ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์
แม้ว่าภาษีศุลกากรจะเป็นอุปสรรคทางการค้าที่ผู้ส่งออกคุ้นเคยมาเป็นเวลานาน แต่สิ่งที่กลายเป็นปัญหาหลักในการค้าระหว่างประเทศยุคใหม่ คือ มาตรการกีดกันทางการค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Measures : NTMs) เพราะทำให้ธุรกิจต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น ใช้เวลาดำเนินการนานขึ้น และสร้างข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดสูงกว่าภาษีถึง 2 เท่า
นอกจากนี้ การปฏิบัติตามเงื่อนไข NTMs ยังไม่ได้เป็นการรับประกันว่าธุรกิจจะสามารถทำกำไรและเจาะตลาดต่างประเทศได้สำเร็จ อีไอซีจึงแนะเคล็ดลับให้ผู้ประกอบการปรับตัวมุ่งสู่การผลิตด้วยมาตรฐานสากล สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้า รวมไปถึงประเมินความสามารถของตนเองในการทำตามเงื่อนไขต่างๆ และเลือกส่งออกสินค้าให้ตรงกับความต้องการของแต่ละตลาด
สิ่งที่ผู้ประกอบการในตลาดการค้าระหว่างประเทศกำลังเผชิญและยิ่งทวีความท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ คือ มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี หรือ NTMs (Non–Tariff Measures) ในอดีตอุปสรรคหลักของผู้ประกอบการที่ค้าขายกับต่างประเทศ คือ ภาษีศุลกากร เนื่องจากทำให้ต้นทุนของสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และลดความสามารถในการทำกำไร อีกทั้งยังอาจทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการในตลาดเป้าหมาย หรือจากประเทศอื่นๆ ได้
แต่ปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้พยายามจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (Free-Trade Area Agreements : FTAs) ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อลดหย่อนภาษีนำเข้าระหว่างกัน หรือกำจัดให้เหลือ 0% อย่างไรก็ดีองค์กรการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรืออังค์ถัด (United Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) เปิดเผยว่า สิ่งที่กลายมาเป็นอุปสรรคหลักในตลาดการค้าโลกยุคใหม่กลับเป็นมาตรการ อื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี (NTMs) เพราะถูกนำมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดมากกว่ามาตรการทางภาษีถึง 2 เท่า โดยประเทศที่มีระดับรายได้สูงและปานกลางมักนำ NTMs มาใช้มากกว่าประเทศที่มีรายได้ต่ำ
มาตรการทางเทคนิค เป็น NTMs ที่พบบ่อยที่สุด และสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากสุด คือ สินค้าเกษตรและอาหาร แม้ว่า NTMs จะมีอยู่หลายประเภท เช่น การจำกัดปริมาณ การควบคุมราคา และเงื่อนไขการชำระราคาสินค้าแต่มาตรการทางเทคนิค ซึ่งรวมถึงมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชเป็น NTMs ที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชากรจำนวนมาก จึงไม่น่าแปลกใจว่าสินค้าเกษตรและอาหารจะได้รับผลกระทบมากกว่าสินค้าประเภทอื่น ยกตัวอย่างเช่น เนื้อวัวแช่เย็นของออสเตรเลียถูกจีนระงับการนำเข้าเป็นเวลา 9 เดือน ระหว่างปี 2556-2557 เพราะไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร ในขณะที่ข้าวไทยก็ถูกหลายประเทศ อาทิ จีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ตรวจหาสิ่งปนเปื้อนจำพวกเชื้อรา มอด และข้าวเปลือก รวมไปถึงผักและผลไม้ สดของไทยหลายชนิด เช่น ลำไย มะม่วง มะละกอ และกะเพรา ยังถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด หรือห้ามนำเข้าโดยออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรป เพื่อป้องกันโรคพืช ศัตรูพืช และสารพิษตกค้างที่อาจติดมากับผลิตผลดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ยังมีสินค้าอีกหลายประเภทที่ได้รับผลกระทบจาก NTMs ประเภทอื่นๆ เช่น อินโดนีเซียที่ใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าผ้าบาติก โดยผู้นำเข้าจะต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ของอินโดนีเซีย และสามารถนำเข้าจากท่าเรือและท่าอากาศยานเพียง 4 แห่งเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะการลดภาษีศุลกากรภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียนและอาเซียน-จีน ทำให้ผ้าบาติกที่นำเข้าจากจีนและมาเลเซียมีราคาถูกกว่าผ้าบาติกที่ผลิตในประเทศ ผู้ประกอบการของอินโดนีเซียซึ่งมีต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงถูกแย่งตลาดเพราะไม่สามารถแข่งขันราคาได้ ในขณะที่สินค้าไทยก็ได้รับผลกระทบจาก NTMs เช่นเดียวกัน อาทิ การส่งออกโทรทัศน์ไปอินเดียภายใต้กรอบการค้าเสรีไทย-อินเดีย ซึ่งติดเงื่อนไขแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin : ROO) ในสัดส่วน 40% ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยบางรายไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ เพราะในระยะหลังมีการใช้ส่วนประกอบจากประเทศเพื่อนบ้านในอัตราสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ดีเงื่อนไข ROO ได้ถูกผ่อนปรนลงหลังจากที่มีความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย ทำให้ไทยสามารถใช้วัตถุดิบภายในประเทศและวัตถุดิบนำเข้าจากประเทศภาคีรวมกันในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 35% ผู้ประกอบการจึงมีความยืดหยุ่นในการจัดหาชิ้นส่วนมากขึ้น
ผู้ประกอบการในธุรกิจส่งออกได้รับผลกระทบจาก NTMs ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตไปจนถึงการกระจายสินค้า อีกทั้งยังไม่สามารถคาดการณ์การใช้มาตรการได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ สินค้าเกษตร เพราะต้องควบคุมดูแลตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูกเพื่อให้ปลอดจากศัตรูพืช โรคพืช และสารเคมีต้องห้าม จนไปถึงขั้นตอนการทำความสะอาดผลิตผลก่อนบรรจุลงหีบห่อและตรวจสอบคุณภาพก่อนขนย้าย ส่งผลให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้นและใช้เวลาดำเนินการมากกว่าปกติ ยิ่งไปกว่านั้นบางประเทศยังจำกัดจำนวนท่าเรือที่สามารถนำเข้าสินค้าเกษตรได้ เช่น อินโดนีเซียที่อนุญาตให้ไทยส่งผักและผลไม้สดผ่าน 4 ท่าเรือเท่านั้น ล้วนแล้วแต่ห่างจากกรุงจาการ์ตานับพันกิโลเมตร ทำให้ผลผลิตของไทยใช้เวลาขนส่งนานกว่าจะไปถึงมือผู้บริโภคและอาจส่งผลต่อคุณภาพของสินค้าได้
นอกจากนี้ ในบางเวลาอาจมีการระงับการนำเข้าชั่วคราวหากสุ่มตรวจเจอสินค้าที่มีปัญหา หรือพบการนำเข้าในปริมาณที่มากเกินไปจนกระทบผู้ผลิตในประเทศ เช่น กรณีของอินโดนีเซียที่ระงับการนำเข้าพืช ผัก และผลไม้ 13 ชนิดจากไทยเป็นเวลา 6 เดือน ในปี 2556 เนื่องจากเป็นช่วงที่อินโดนีเซียมีผลผลิตออกมามาก ทำให้ชาวสวนและผู้ส่งออกผลผลิตดังกล่าวของไทยได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก &O5532;
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)


