'จำนง ศรีนคร' แสงสว่างในบ้านเกิด
เสมือนหนึ่งว่าความงดงามที่ผสานกลมกลืนจนเป็นเนื้อเดียวกับวิถีชีวิตของชายผู้นี้
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
เสมือนหนึ่งว่าความงดงามที่ผสานกลมกลืนจนเป็นเนื้อเดียวกับวิถีชีวิตของชายผู้นี้ มีต้นธารมาจากรากเหง้าที่งอกเงย ยังให้จังหวะก้าวในแต่ละย่างหนักแน่นมั่นคง บนต้นทุนที่มีมาแต่ดั้งเดิม คือภูมิลำเนา จ.ตรัง
สำหรับคนทั่วไปแล้ว ชื่อของ จำนง ศรีนคร อาจไม่เป็นที่คุ้นชินหรือเป็นที่รู้จักสักเท่าไรนัก ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดแผกประการใด
หากเรายังเชื่อกันว่าเราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง จริงหล่ะหรือที่ทุกคนต้องยืนอยู่แถวหน้า ทุกคนต้องถูกดวงไฟสาดส่อง ?
ใช่หรือไม่ว่า ดาวทอแสงระยับตระการฟ้าย่อมสำแดงตัวในคืนอันมืดสงบ
แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็เป็นหนึ่งได้ จริงไหม ?
“ผมเป็นคนชอบสร้างปรากฏการณ์” จำนง บอกกับผม และชวนย้อนกลับไปสอบทานบทเรียนชีวิตที่ผ่านมา
ระหว่างบรรทัดในวัยเด็กของจำนง เขาผนึกตัวเองเข้ากับการอ่านและการทำกิจกรรมอย่างเป็นสรณะ เขาประจักษ์แก่ตัวเองว่ามิติของชีวิตไม่ได้มีเพียงด้านเดียว และไม่อาจถมให้เต็มได้ด้วยการศึกษาหรือวิชาการในห้องเรียนเท่านั้น
“ผมเป็นคนที่ไม่ได้ให้น้ำหนักกับการเป็นเลิศทางการศึกษา” จำนง ค้นพบว่ากิจกรรมนอกห้องเรียนโดยเฉพาะด้านศิลปวัฒนธรรม นำมาซึ่งความเบิกบานในเบื้องต้น ก่อกำเนิดเป็นความสุขจากภายใน
และไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัยนำพา หรือเป็นเพราะสัญชาตญาณของคนหนุ่ม เขาค้นพบอีกว่า เส้นทางชีวิตนับจากนี้คงไม่อาจแยกทางออกไปจากการขีดๆ เขียนๆ ไปได้
“ผมเชื่อในพลังของตัวอักษรและคิดว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ผมมองว่าคนเขียนหนังสือเป็นอัจฉริยะที่สามารถนำพาจินตนาการของผู้อ่านไปสู่อีกโลกหนึ่งผ่านทางตัวอักษร”
ภายหลังสำเร็จการศึกษาจากสถาบันราชภัฏจันทรเกษม สาขาวารสารศาสตร์ พร้อมปรากฏการณ์การคว้ารางวัล “มินิพูลิตเซอร์” จากผลงานการสืบสวนสอบสวนจนสร้างแรงสั่นสะเทือนในรั้วมหาวิทยาลัย และกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นน้องอีกหลายรุ่น จำนงก็เริ่มต้นชีวิตในฐานะนักหนังสือพิมพ์ค่ายมติชน
“นักข่าวเหมือนมีตั๋ววิเศษที่ทำให้ได้ไปพบเจอกับบุคคลที่แตกต่าง ได้ไปในสถานที่ที่แตกต่าง ซึ่งทำให้เราได้สัมผัสในความแตกต่างเหล่านั้น”
มาตรว่าความแตกต่างคือความปกติ และในเมื่อความปกติคือความสุข ใช่หรือไม่ว่าความสุขย่อมบังเกิดขึ้นได้จากความแตกต่าง ?
เป็นเวลากว่า 10 ปี ที่จำนงโลดแล่นอยู่ในกระแสธารน้ำหมึกอันเชี่ยวกราก โดยเฉพาะหน้าตักที่รับผิดชอบคือแวดวงการเมือง มุมหนึ่งเขายอมรับโดยบริสุทธิ์ใจว่านั่นคือความสุข แต่ก็ใช่ว่าความสุขนั้นจะสมบูรณ์พร้อมด้วยพลังด้านบวกเสมอ
“ผมเป็นออฟฟิศซินโดรม ปวดหลังจนแทบจะต้องผ่าตัดจากการนั่งทำงานนานๆ น้ำหนักขึ้นเพราะไม่มีเวลาออกกำลังกาย ร่างกายทรุดโทรมมากๆ”
ในวันที่ความสุขเริ่มกัดกร่อนร่างกาย เป็นวันเดียวกับที่จิตใจเริ่มถูกกลืนกิน
“ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหยาบกระด้าง อยู่อย่างหวาดระแวงและไม่ค่อยไว้ใจคน ซึ่งไม่ควรจะเป็นแบบนี้”
เกิดเป็นคำถามมาจากเบื้องลึก ที่ผ่านมามีความผิดพลาด หรือเราต่างละเลยอะไรบางอย่างไป ?
ในโมงยามที่วาบความคิดเรียกร้องให้เขาต้องทวงคืนบางสิ่งที่หายไปอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า มรสุมตามธรรมชาติอีกระลอกก็โถมปะทะจนทำให้เขาต้องตัดสินใจ
ครั้งหนึ่ง ระหว่างที่จำนงเฝ้าไข้บิดา ซึ่งกำลังป่วยหนัก ก็มีงานสำคัญเร่งด่วนที่กรุงเทพฯ เขาคิดว่าใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวเมื่อเสร็จก็จะรีบบินกลับมา แต่ทันทีที่ถึงกรุงเทพฯ บิดาก็จากเขาไป
“ไม่รู้ตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่จึงเลือกกลับไปทำงาน เพราะนอกจากจะไม่ได้งานแล้วผมยังไม่มีโอกาสอยู่กับพ่อในวาระสุดท้าย ถ้ามองเรื่องนี้ในมิติความเป็นมนุษย์ถือว่าผมล้มเหลวมาก”
นั่นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้จำนงหวนกลับคืนสู่บ้านเกิด
“การกลับบ้านก็ต้องเตรียมการนะ จู่ๆ จะให้กลับไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์เลยคงไม่ไหว มันต้องค่อยๆ วอร์มดาวน์ ตอนนั้นผมตัดสินใจลาออกจากมติชน แล้วไปร่วมงานกับนิตยสาร ฅ คน มีโอกาสได้เห็นชีวิตของคนเล็กคนน้อย มันเป็นความท้าทายใหม่ที่จะหยิบยกแง่มุมดีๆ ของคนเหล่านี้มานำเสนอ ชีพจรของผมก็เริ่มเต้นช้าลงๆ แต่ก็ยังเต้นอยู่อย่างมีน้ำหนัก”
วันที่เขากลับบ้าน เขาเห็นปัญหาของท้องถิ่นที่ไม่มีพื้นที่รองรับพลังของกลุ่มคนรุ่นใหม่ จึงคิดว่าต้องสร้างอะไรขึ้นมาจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากกรุงเทพฯ ไม่เช่นนั้นเขาเองก็จะอยู่ที่บ้านเกิดอย่างมีความสุขไม่ได้
“ผมกลับมาก็ประกาศกับเพื่อนฝูงว่าจะเขียนต้นฉบับให้ฟรี เขียนลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น 4 ฉบับ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของ จ.ตรัง ทั้งมิติศิลปวัฒนธรรม บันทึกประวัติศาสตร์ และเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองเห็น ขณะเดียวกันผมก็เริ่มรวมกลุ่มคนรุ่นใหม่ใน จ.ตรัง ทำงานเพื่อสังคมให้ฟรี ทั้งจัดนิทรรศการ งานอีเวนต์ งานหนังสือ ไปจนถึงสื่อแขนงต่างๆ เท่าที่จะทำได้ ซึ่งมันก็เกิดเป็นปรากฏการณ์อะไรบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว”
“ผมคิดว่าจะต้องมีพื้นที่สำหรับการส่งต่อให้กับคนในแต่ละรุ่น ผมให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายคนทำงาน ชวนกันออกมาทำเรื่องดีๆ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าภาพในอนาคตของ จ.ตรัง ต้องเป็นอย่างไร เพราะอนาคตของจังหวัดเป็นเรื่องที่คนตรังต้องช่วยกันกำหนด”
ทุกวันนี้ จำนงเป็นบรรณาธิการ www.addtrang.com และเพิ่งตีพิมพ์พ็อกเกตบุ๊กในชื่อเดียวกัน 1 เล่ม
“เมื่อคนในท้องถิ่นเริ่มเอาจริงเอาจังกับการค้นคว้ารายละเอียดของถิ่นกำเนิดของเขา ย่อมจะมีความพิเศษที่สัมผัสได้ในสิ่งที่เขาแสดงผ่านออกมา ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียน งานเขียน คล้ายกับจิตวิญญาณบางอย่างได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา เช่นเดียวกับที่ จำนง ศรีนคร กำลังทำกับ จ.ตรัง บ้านเกิดของเขา” ตอนหนึ่งในคำนิยมจาก ทิวา สาระจูฑะ บรรณาธิการนิตยสารสีสัน


