ก่อการร้ายโลกขยายพันธุ์ ตำรวจไทยต้องพร้อมรับมือ
โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ
โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ
การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกพื้นที่ทุกเวลา โดยเฉพาะเมื่อโลกเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างในปัจจุบัน แน่นอนว่าไม่มีพื้นที่ใดปลอดภัย 100%
ในส่วนของประเทศไทย แม้ว่าจะไม่ได้มีสถานะเป็นคู่ขัดแย้งกับขบวนการก่อการร้ายโดยตรง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแต่ละปีมีชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในรูปแบบนักท่องเที่ยวอย่างมากหน้าหลายตา
นั่นนำมาซึ่งความเสี่ยง...
พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ (ผบก.ตท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าตำรวจสากลประจำประเทศไทย ยอมรับว่า ทุกวันนี้รูปแบบการก่อการร้ายมีการพัฒนาขึ้นไปสูงมาก และประเทศไทยมีความเสี่ยงจากการเดินทางเข้า-ออก ของชาวต่างชาติ เนื่องจากเข้า-ออกง่าย แต่ตรวจสอบเป็นรายบุคคลได้ยาก เพราะอุปกรณ์และเทคโนโลยีไม่ดีพอ
“ทุกวันนี้มีชาวต่างชาติใช้หนังสือเดินทางผิดปกติอยู่ภายในประเทศไทยราวๆ 100 คนเศษ ซึ่งเราไม่รู้เจตนาว่าเขาเข้ามาทำอะไร แต่แน่นอนว่าไม่มาดีแน่นอน” พล.ต.ต.อภิชาติ ระบุ
พล.ต.ต.อภิชาติ ให้ภาพต่อไปว่า ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าและการจับมือกันระหว่างประเทศเพื่อสร้างเศรษฐกิจร่วมกันในอาเซียน กลับพบว่าการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันกลับไม่รุดหน้าเลยแม้แต่น้อย ซึ่งในอนาคตการท่องเที่ยวจะสร้างเศรษฐกิจให้ดี แต่การเข้ามาของนักท่องเที่ยวก็จะเป็นปัญหาหากไม่มีมาตรการที่รัดกุมพอ
“ลองคิดดูว่าการกระทำความผิดจะง่ายขึ้นมากแค่ไหน ต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้ฐานข้อมูลอาชญากรรมมันเชื่อมโยงกัน เรายังไม่เชื่อมโยงกันแต่ก็รวมตัวกันแล้ว” หัวหน้าตำรวจสากลประจำประเทศไทย ระบุ
นายตำรวจผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศรายนี้ ยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า กรณีคนเวียดนามเข้ามาไทย ถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่ามีหมายจับติดตัวมาหรือไม่ ที่สำคัญคือไม่มีเวลาตรวจสอบบุคคล เต็มที่ไม่เกิน 1 นาที มันไม่ทันแน่นอน อีกอย่างประเทศเราการท่องเที่ยวทำรายได้มาก เราก็ต้อนรับมาให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็แฝงอาชญากรมาด้วย การท่องเที่ยวเลยต้องเน้นคุณภาพ และก็ต้องรับปริมาณที่มากได้เช่นกัน แต่เราลงทุนช้าไปแล้วกับการตรวจสอบ
หนึ่งในแนวทางการป้องกันคือการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนเพื่อให้มีองค์ความรู้เกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามชาติและการก่อการร้าย เพื่อให้เป็นหูเป็นตาช่วยเจ้าหน้าที่รัฐ
“รัฐไหนจะมั่นคงปลอดภัยคนในรัฐต้องมีความรู้ ผมถามว่าคนไทยรู้หรือไม่ว่าการก่อการร้ายแท้จริงคืออะไร อาชญากรรมข้ามชาติเป็นแบบไหน เข้าอีเมลหลอกลวงก็มีสิทธิเสียหายได้ เรารู้กันดีแล้วหรือยัง” พล.ต.ต.อภิชาติ ตั้งคำถาม
อย่างไรก็ตาม นับว่าประเทศไทยก็มีการตื่นตัวมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะที่ผ่านมาบ้านเรามีเหตุรุนแรงจึงทำให้ประชาชนตื่นตัว
สำหรับการอุดช่องโหว่เบื้องต้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้อนุมัติหลักการเพื่อบูรณาการระบบตรวจหนังสือเดินทางของประเทศไทยให้เชื่อมโยงกับระบบข้อมูลของตำรวจสากล
พล.ต.ต.อภิชาติ อธิบายว่า ทันทีที่ชาวต่างชาติยื่นหนังสือเดินทางเข้าประเทศ ข้อมูลของเขาเหล่านั้น ทั้งชื่อ เลขหนังสือเดินทาง จะลิงก์ตรงไปยังฐานข้อมูลของตำรวจสากล ซึ่งจะทำให้รู้ว่าบุคคลนั้นเป็นใคร เคยก่อคดีมาหรือไม่ ซึ่งคาดว่าอีกไม่เกิน 2-3 เดือนข้างหน้า ระบบนี้ก็จะมีผลบังคับใช้แล้ว
ขณะที่ช่วงปลายปี 2560 รัฐบาลอนุมัติให้สร้างเครื่องมือตรวจสอบบุคคลแบบไบโอเมตริกส์ ที่จะตรวจชีวภาพของบุคคล ผ่านลายนิ้วมือหรือม่านตาแทนการยืนยันตัวบุคคลผ่านหนังสือเดินทางเพียงอย่างเดียว
ผบก.ตท. ให้ข้อมูลต่อไปอีกว่า ทุกวันนี้ตำรวจสากลให้ความสำคัญอยู่ 3 อย่าง 1.การป้องกันการก่อการร้าย 2.การป้องกันปราบปรามอาชญากรรม 3.จะทำอย่างไรให้ความมั่นคงทางไซเบอร์มีความปลอดภัย ทั้งหมดนี้คือหัวใจของตำรวจสากลในยุคนี้ แล้วถามว่า 3 อย่างนี้เป็นหน้าที่ของใคร คำตอบก็คือเป็นงานของตำรวจทั้งหมด
“ผมห่วงสุดคือข้อ 3 ความมั่นคงทางไซเบอร์ ถามว่าเรามีทรัพยากรบุคคลที่ชำนาญด้านนี้พอหรือยัง เรามีน้อยมาก ตำรวจ 2 แสนกว่าคน จะมีกี่คนที่จบทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ มันน้อยมาก แล้วเราจะแก้ปัญหาอย่างไร เราจะไปคัดคนที่จบด้านคอมพิวเตอร์มารับราชการเหรอ มันไม่ได้หมายความว่าทุกคนอยากเป็นตำรวจ”
ข้อเสนอจากนายตำรวจที่คลุกคลีงานต่างประเทศมานับ 10 ปี ก็คือต้องไปแสวงหาความร่วมมือกับบริษัทเอกชนที่ทำงานด้านคอมพิวเตอร์มาร่วมกันทำงานให้ได้ เพิ่มศักยภาพของตำรวจเพียงฝ่ายเดียวมันจะไม่มีทางได้ผลสัมฤทธิ์ออกมา
“ผมยังยืนยันว่าเรื่องสำคัญที่สุดคือการแสวงหาความร่วมมือในกิจการระหว่างประเทศ” พล.ต.ต.อภิชาติ ย้ำ
รัฐต้องลงทุนในเรื่องนี้ให้มากขึ้น เพราะนั่นเป็นหัวใจของการป้องกันภัยก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ


