ไม่ฝืนกระแส แต่ไม่แพ้ทางลม
โดย...ณัฐพงศ์ พันธเกียรติไพศาล
โดย...ณัฐพงศ์ พันธเกียรติไพศาล
บางครั้งทุกฝ่ายต้องพยายามที่จะแยกแยะเรื่องเศรษฐกิจ การประกอบกิจการของทุนต่างชาติออกจากนิยามความดีความเลว ความชอบความไม่ชอบ เพราะช่วงหลังเมื่อสังคมเปิดมากขึ้น สิ่งที่เราพบเห็นบ่อยขึ้นคือการรุมประณามการกระทำบางอย่างในโลกออนไลน์อย่างขาดสติและไกลกว่าความเป็นจริง
ตัวอย่างง่ายๆ เช่น การต่อว่านักท่องเที่ยวจีนเรื่องพฤติกรรมการกินอยู่เมื่อมาท่องเที่ยว อันนี้รู้สึกว่ามากไปถ้าตามอ่านเรื่องจะขยายไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือต้นตอเดิม และหากหันกลับมามองตัวเองบ้างก็จะพบว่าหลายๆ ครั้งก็มีข่าวนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวต่างประเทศก็สร้างวีรกรรมต่างๆ ไว้ไม่น้อยหน้าชนชาติอื่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะเหมารวมเป็นชาติไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง บางเหตุการณ์ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมในการจัดการของเราเองด้วย ไม่ต่างจากการรุกคืบเข้าสู่ประเทศไทยของทุนที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เราน่าจะตั้งอยู่ในจุดที่ว่า เราพร้อมรับมือโดยให้ผลประโยชน์นั้นเข้าสู่ประเทศไทยอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่การตัดสินว่าดีหรือเลวแล้วจบ แต่ต้องกลับมามองดูตัวเองว่า กลไกต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจ ทั้งกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย โครงสร้างต่างๆ เอื้ออำนวยในการบริหารจัดการทุนเหล่านี้หรือไม่?
ขอย้ำว่าการบริหารจัดการนั้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ยืดหยุ่น คล่องตัว ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะวันนี้ไม่ใช่มีแค่ประเทศไทยประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ที่ดึงดูดนักลงทุน คำว่าประโยชน์สูงสุดต่อประเทศหรือของรัฐ แต่ไม่เป็นธรรม ก็อาจไม่ได้ช่วยอะไรในการผลักประเทศเข้าสู่ความได้เปรียบในระบบเศรษฐกิจโลก มีแต่การไล่นักลงทุนออกไปที่อื่น ซึ่งอาจรวมถึงนักลงทุนไทยเองด้วย คำว่าเป็นธรรม น่าจะมีความหมายที่ครอบคลุมกว่าคำว่า ประโยชน์สูงสุด เพราะคำว่าประโยชน์สูงสุดต้องตีความอีกไกลว่าสูงสุดต่อใคร หน่วยงานใด ผู้ตัดสินใจคำนึงถึงอะไรเป็นสำคัญ?
วันนี้ในแง่ยุทธศาสตร์ความพร้อมในภาพรวมทั้งหมดที่เอื้อต่อการลงทุน หากดูตัวชี้วัดจากการวิเคราะห์ของนักลงทุนหลายๆ กลุ่ม เรายังเป็นประเทศที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่น่าลงทุนที่สุดประเทศหนึ่ง แน่นอนว่าในการเข้ามาลงทุน นักลงทุนทุกชาติต้องการผลประโยชน์ต่อการลงทุน ต้องการความแน่นอน ความได้เปรียบและความเชื่อมั่น สิ่งเหล่านี้ทำให้หน่วยงานของรัฐต้องเป็นด่านหน้าทั้งส่งเสริม ทั้งปะทะ เพื่อให้เกิดความมั่นใจของนักลงทุนในขณะเดียวกันประเทศก็ได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนด้วย มีหลายประเด็นมากหากจะเขียนถึงในแง่อุปสรรคเป็นรายข้อในมุมนักลงทุน ตั้งแต่เรื่องกฎหมายทุกประเภท เรื่องภาษี เรื่องการถือครองทรัพย์สิน เรื่องตลาดเงินตลาดทุน เรื่องการบริการของภาครัฐ ทั้งหมดคืออุปสรรค เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ก็แล้วแต่ประเภทและขนาดของธุรกิจ ซึ่งโดยส่วนตัวไม่คิดว่าเป็นเรื่องหลักเป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ แก้ ไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆ ที่จะทำได้ แล้วเรื่องสำคัญคืออะไร?
สำหรับผู้เขียนแล้วทุกอุปสรรคที่ภาครัฐก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่เอกชนที่เกี่ยวข้องน่าช่วยกันสร้างคือ “Mindset” ที่เอื้อต่อการปรับตัว ถ้าเอาตามพจนานุกรมก็คงต้องลอกมาเต็มๆ ว่าหมายถึง “ความเชื่อที่มีผลต่อพฤติกรรม” เช่น
Mindset ประการแรกคือ “กฎหมายแก้ปัญหาได้ครอบจักรวาล” มีปัญหาก็ขอออกกฎหมาย ซึ่งไม่เป็นความจริงโดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เศรษฐกิจ กฎหมายยิ่งมากบางทียิ่งเป็นปัญหา การที่มีธุรกิจข้ามชาติใหม่ๆ แล้วใช้วิธีการออกกฎหมายเพื่อควบคุม จะในแง่มุมการจัดเก็บภาษี คุ้มครองผู้บริโภค คุ้มครองธุรกิจไทย หรืออะไรก็ตามแต่ ยิ่งออกมาก โทษยิ่งหนัก บางครั้งกลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่ คำถามง่ายๆ คือรัฐจะมีองคาพยพเพียงพอหรือไม่ที่จะใช้กฎหมายมากมายมหาศาล และเลือกใช้หรือใช้อย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายทุกคนได้หรือไม่? พอหน่วยงานรัฐขอมีอำนาจควบคุมก็ต้องมีองค์กรมาควบคุมการใช้อำนาจรัฐอีก คุมกันไป คุมกันมาในตัวรัฐเองก็ยากแล้ว ไม่มีทางที่จะสามารถปรับตัวได้ทัน
การเคลื่อนที่ของระบบเศรษฐกิจที่ไม่มีพรมแดน หรือมีน้อยลงเรื่อยๆ เหล่านี้ได้ ทางออกเรื่องนี้มีมากมายให้ศึกษาในประเทศที่มีการรวมกลุ่มก้อนทางเศรษฐกิจมาก่อนหน้าประเทศไทย และเผชิญปัญหาเหล่านี้มาก่อน การเจรจาต่อรอง เวทีการค้า สมาคมการค้าต่างๆ คือทางออกที่ยืดหยุ่นกว่า เพราะการทำธุรกิจ ไม่ใช่ทำกันวันเดียวแล้วเลิกแล้วต่อกัน การมุ่งสร้างกลไกอื่นๆ ที่ยืดหยุ่นกว่าเพื่อให้ธุรกิจมีเวทีขจัดความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ เจรจาต่อรอง และรักษาผลประโยชน์ของตนเอง โดยรัฐไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวมากจนเกินไป ควรเป็นทางเลือกหนึ่งหรือไม่?
Mindset ที่สองคือ “มาตรฐานระบบเศรษฐกิจที่ดีหมายถึงขบวนการแบบชาติตะวันตก” ซึ่งยิ่งไม่เป็นความจริง นโยบายทางเศรษฐกิจของชาติมหาอำนาจทุกชาติในโลกนี้ ไม่ได้มีเพื่อความเป็นธรรม โปร่งใส อย่างในตำราให้ชาติกำลังพัฒนารับมาปฏิบัติ ทุกอย่างมีผลประโยชน์เชิงโครงสร้างแฝง ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่เป็นธรรมชาติที่ต้องรู้เท่าทัน ทั้งข้อดีข้อเสีย สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้ง่ายที่สุดเมื่อบางเวลาที่ชาติมหาอำนาจมีปัญหาทางเศรษฐกิจ ก็มีการนำขบวนการบางประการที่ตนเองไม่สนับสนุนให้ชาติที่กำลังพัฒนาใช้ แต่ในกรณีของตนเองสามารถใช้ได้
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจหลายครั้งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในที่สุดแล้ว แต่ละชาติก็ย่อมเลือกรักษาผลประโยชน์ของชาติตนสูงที่สุดก่อน ไม่ใช่เลือกขบวนการแก้ปัญหาที่แต่ละฝ่ายมองว่านั่นคือมาตรฐานที่ดี การสมดุลระบบเศรษฐกิจของชาติให้อยู่ในจุดที่ควรสมดุล โดยสามารถเลือกทางเดินของตนเองได้ แก้ปัญหาในแบบตนเองเพื่อคนส่วนใหญ่ พร้อมๆ กับการพยายามเดินตามวิถีทุนนิยมโลก โดยไม่เสียเปรียบและมีต้นทุนโดยไม่จำเป็น น่าจะได้รับการส่งเสริมให้มีการคิด การวิเคราะห์บทเรียนหลายอย่าง เช่น การที่อังกฤษจะมีการลงประชามติว่าจะยังอยู่ในกลุ่มเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (EU) หรือไม่ในเดือน มิ.ย.นี้ (Brexit) คือการที่รัฐกำลังจะถามประชาชนของประเทศเรื่องระบบเศรษฐกิจที่ชาวอังกฤษทุกคนต้องการ มหาอำนาจก็ยังมีการทบทวนทิศทางของตนเอง
ทั้งหมดเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีความยืดหยุ่นเชิงโครงสร้าง เป็นตัวของตัวเอง เหมาะกับสังคมของตัวเอง และมีอำนาจต่อรองในรูปแบบของตน รับแรงกระแทกและปรับตัวได้ ไม่ใช่คิดแต่จะใส่สูท แล้วฝันเอาว่าตัวเองจะเป็นผู้เจริญแล้วทางเศรษฐกิจ ถึงเวลามีปัญหาคนรับเคราะห์คือคนที่ไม่มีสิทธิตัดสินใจอะไรเลย


