การเมืองไทยในกำมืออำมาตย์
“อำมาตย์คือชนชั้นนำที่อิงอำนาจเชิงจารีต” โปรยหัววันนี้ออกจะเป็นภาษาวิชาการหนักมากไป
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
“อำมาตย์คือชนชั้นนำที่อิงอำนาจเชิงจารีต”
โปรยหัววันนี้ออกจะเป็นภาษาวิชาการหนักมากไป แต่ก็อยากให้ท่านผู้อ่านทราบว่า บางทีการเมืองก็เป็นเรื่องหนักๆ โดยเฉพาะการเมืองไทยที่ซับซ้อนไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับ “เจ้าพระเดชนายพระคุณ” ทำให้ผู้เขียนก็ลำบากใจที่จะใช้ถ้อยคำตรงๆ แบบชาวบ้าน จึงต้องเลี่ยงด้วยการใช้ภาษาทางวิชาการนี้
ในตำรารัฐศาสตร์กล่าวถึงการเมืองไทยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ว่ามีการปกครองแบบ “อำมาตยาธิปไตย” โดยในช่วงแรกปี 2475-2489 เป็นอำมาตยาธิปไตยแบบ “หัวก้าวหน้า” คือปกครองโดยกลุ่มข้าราชการรุ่นใหม่ทั้งพลเรือนและทหารที่ได้รับการศึกษาและมีประสบการณ์ในต่างประเทศ ซึ่งประกอบกันเป็นแกนนำของคณะราษฎร จากนั้นก็ขัดแย้งกัน ฝ่ายทหารก็ขึ้นมามีอำนาจอย่างโดดเด่นตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2490 เป็นช่วงที่ 2 ของอำมาตยาธิปไตย ที่เรียกว่า “ยุคนายทุนขุนศึก” หมายถึงทหารขึ้นมาคุมระบบเศรษฐกิจของประเทศ ร่วมกับการทำหน้าที่ด้านความมั่นคงตามแบบดั้งเดิม พร้อมกับการ “ร่วมธุรกิจ” กับเอกชน เพื่อสร้างเครือข่ายอำนาจ แต่ก็มาจบลงในเหตุการณ์วันที่ 14 ต.ค. 2516 แล้วทหารก็รอจังหวะฟื้นคืนใหม่ในวันที่ 6 ต.ค. 2519 จากความฟุ้งเฟ้อในการใช้เสรีภาพของนักศึกษาและปัญญาชน รวมถึงนักการเมืองที่ “เห่อเหิม” ในสมัยการเลือกตั้ง 2518 และ 2519 นั้นด้วย
ในบทความนี้เมื่อสัปดาห์ก่อน ในชื่อว่า “2521 จุดเปลี่ยนการเมืองไทย” ได้อธิบายมาถึงการขึ้นสู่อำนาจของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2521 ที่ “หมกเม็ด” ให้ทหารเข้าควบคุมโครงสร้างทางการเมืองทุกๆ ส่วนได้อย่างแนบเนียน โดยที่ถนนทุกสายต้องไปบรรจบกันที่ “สี่เสาเทเวศร์” อันหมายถึงบ้านพักของ ฯพณฯ พล.อ.เปรม ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะ พล.อ.เปรม เป็นนายทหารที่มีบารมีมากที่สุด แต่ยังเป็นกระแสการเมืองในสมัยนั้น “ต้องพึ่งพิงทหาร” โดยนักการเมืองที่ถูกทหาร “หว่านล้อม” มาเข้าคอกในยุครัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2518 และ 2519 ที่ไร้เสถียรภาพ พร้อมด้วยนักธุรกิจที่เคย “เซ็งลี้” มากับทหารตั้งแต่ยุคนายทุนขุนศึกนั่นแล้ว ในขณะที่ในกองทัพก็ต้องปรับขบวน “เลือกเกาะนาย” กันใหม่ เพื่อให้ได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาและมีตำแหน่งในทำเนียบรัฐบาล ที่หมายถึงอนาคตทางการทหารก็จะรุ่งเรืองตามไปด้วย
นั่นคือจุดเปลี่ยนการเมืองไทยที่ทำให้ทหารเข้าครองเมือง
ผู้เขียนจะไม่เล่ารายละเอียดในการเมืองยุค พล.อ.เปรม (ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ว่าถ้าท่านใดอยากทราบรายละเอียดแบบคนซอยสวนพลู เชิญอ่านสยามรัฐรายสัปดาห์ คอลัมน์คึกฤทธิ์วิทยายุทธ์ เขียนโดย “ก๊วยเจ๋ง” ที่ในช่วงนี้กำลังเล่า “การเมืองไทยใต้ถุนบ้านสวนพลู” มาถึงตอนที่ 8 ในช่วงที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์กำลังตั้งพรรคกิจสังคมในปี 2517) เพราะจุดมุ่งหมายมีเพียงความต้องการที่จะชี้ให้เห็นว่า “การเมืองไทยขาดทหารไม่ได้” อันเป็นผลมาจาก “วิสัยอัตคัด” ของชนชั้นนำไทย ที่ผู้เขียนขอสรุปเป็นช่วงๆ ดังนี้
ในช่วงแรก หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กลุ่มชนชั้นนำไทยที่ได้อำนาจขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็คือกลุ่มข้าราชการหรือ “อำมาตย์” นั่นเอง เพียงแต่เป็นพวก “ปฏิเสธเจ้า” โดยไปใช้อุดมการณ์เชิงจารีต (จารีตแปลว่า โบราณ หรือ ดั้งเดิม) เพื่อ “ขายฝัน” ให้แก่คนไทยที่คุ้นเคยกับระบบอุปถัมภ์และเกรงกลัวศักดินา ได้แก่ แนวคิด “โลกพระศรีอาริย์” ของคณะราษฎร และแนวคิด “ชาตินิยม” ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม
ช่วงต่อมา เมื่อจอมพล ป. หมดอำนาจ ในปี 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ครองอำนาจสืบต่อ ได้ประกาศลัทธิ “ไตรภักดิ์” ที่ทหารต้องมีหน้าที่ปกป้องและเชิดชู 3 สถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นแนวคิดจารีตที่มีมาแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในขณะเดียวกันก็มีแนวคิดอิงความทันสมัยด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทว่าในทางการเมืองกลับเป็นเผด็จการที่ยังคงเป็นแนวจารีต
ช่วงที่สาม หลังการพ่ายแพ้ของทหารในเหตุการณ์วันที่ 14 ต.ค. 2516 ทหารต้องรอคอยมาจนถึงวันที่ 6 ต.ค. 2519 โดยที่ทหารได้สั่งสมประสบการณ์ทั้ง “สุข” และ “ทุกข์” นั้นมาพอสมควร จึงใช้ยุทธวิธี “ยืดหยุ่น กลมกลืน ประสาน” ดังที่ได้เขียนออกมาเป็นรัฐธรรมนูญปี 2521 พร้อมกับได้นายทหารที่เข้ากันได้ดีกับสถานการณ์นี้ คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทำให้ทหารกลายเป็น “ว่าวติดลมบน”
ช่วงที่สี่ ตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบัน แม้ทหารจะ “หกล้ม” ไปสักครู่ในเหตุการณ์เดือน พ.ค. 2535 แต่ด้วยประสบการณ์ในงานการเมืองที่สั่งสมมาตั้งแต่ยุค พล.อ.เปรม ทำให้ทหารแยกตัวเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเข้าไปสนับสนุนนักการเมือง คือเป็นนายทหารที่มีสังกัดพรรค อีกส่วนหนึ่ง “แกล้ง” หันหลังให้การเมืองแล้วทำตัวว่าเป็นทหารอาชีพคอยพิทักษ์ระบบ แล้วก็คืนสู่อำนาจในปี 2549 และ 2557
เรื่องทหารกับการเมืองไทยนี้ เหมือนกับซีรี่ส์เกาหลีที่ท่านนายกรัฐมนตรีชื่นชอบ คงต้องขอไปกล่าวถึงอีกสักตอนเพื่อชี้ให้เห็นว่า แนวคิดจารีตของ “เสนามาตย์” หรืออำมาตย์ที่เป็นทหารนี้จะไปได้อีกกี่น้ำ
ฤๅแม่น้ำ 5 สาย ลางทีจะกลายเป็นมหาสมุทร


