ปัญหาประชามติ
โดย...โคทม อารียา
โดย...โคทม อารียา
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะร่างรัฐธรรมนูญเสร็จภายในเดือน มี.ค. จากนั้นเราจะมีเวลา 4 เดือนจนถึงเดือน ก.ค. เพื่อเป็นช่วงเวลาของการศึกษาร่างรัฐธรรมนูญอย่างรอบด้านก่อนการกำหนดใจว่าจะออกเสียงเห็นชอบกับร่างหรือไม่ ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ รัฐพึงยึดหลักสากลของการลงประชามติตามที่บัญญัติในมาตรา 165 วรรค 5 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ดังนี้ “ก่อนการออกเสียงประชามติ รัฐต้องดำเนินการให้ข้อมูลเพียงพอ และให้บุคคลฝ่ายที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบกับกิจการนั้น มีโอกาสแสดงความคิดเห็นของตน ได้อย่างเท่าเทียมกัน”
อย่างไรก็ดี นอกจากเรื่องเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีประเด็นปัญหาประชามติที่ควรถกแถลงกันหลายประเด็น ประเด็นแรก คือ ร่างกฎหมายประชามติที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำลังเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นั้นมีเนื้อหาอะไรบ้าง กกต.จะเน้นที่เสรีภาพหรือที่การควบคุมการแสดงออก เช่น ให้แสดงออกได้เต็มที่ก็แต่ในเวทีที่จัดโดย กกต.เท่านั้น ดังที่เป็นข่าวในสื่อหรือไม่ จึงขอเสนอให้ กกต.เผยแพร่ร่างกฎหมายประชามติ รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน แล้วนำมาปรับปรุงร่างก่อนที่จะดำเนินการต่อไป
ปัญหาที่สอง คือ คำถามในการทำประชามติ นอกจากจะถามเรื่องเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแล้ว สนช.ยังสามารถตั้งคำถามเพิ่มเติมได้ สนช.ควรจะสอบถามความเห็นของสาธารณชนก่อนตั้งคำถามหรือไม่ ว่าคำถามใดจึงจะก่อประโยชน์แก่การพัฒนาประชาธิปไตย ในเรื่องนี้มีประเด็นพึงพิจารณา คือ การลงประชามติตามคำถามของ สนช.จะมีผลบังคับหรือไม่ หรือเป็นเพียงความเห็นหรือคำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี ถ้าจะกำหนดให้ประชามติมีผลบังคับ ก็ควรพิจารณาต่อไปว่าจะบังคับองค์กรแห่งรัฐองค์กรใด ถ้าบังคับเฉพาะฝ่ายบริหารก็คงทำได้ แต่ถ้าบังคับฝ่ายนิติบัญญัติก็อาจซ้อนอำนาจกับ สนช.และรัฐสภาต่อไป
เช่น หากเป็นไปตามที่มีข่าวว่า คำถามของ สนช.เพื่อให้ลงประชามติ คือ “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสมัยแรกหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็นรัฐบาลแห่งชาติ” แน่นอนว่า สนช.จะต้องขยายความคำว่ารัฐบาลแห่งชาติให้ชัดเจน เช่น “ให้พรรคการเมืองหลายพรรคร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลซึ่งมีเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของ สส.ทั้งหมด
ทั้งนี้ หากไม่สามารถดำเนินการจัดตั้งได้ภายใน 30 วัน ให้ลดจำนวนเสียงสนับสนุนเป็น 3 ใน 5 หากไม่สามารถดำเนินการจัดตั้งได้อีกภายใน 30 วัน ให้ดำเนินการยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่” ถามเช่นนี้แล้วจะขัดกับร่างรัฐธรรมนูญไหม
ปัญหาที่สาม คือ ขณะนี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่บอกว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการลงประชามติจะมีกระบวนการอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 การที่หัวหน้า คสช.กล่าวแต่เพียงว่า มีคำตอบเตรียมอยู่ในใจแล้วนั้น คงจะไม่เพียงพอ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญของส่วนรวม ก่อนการออกเสียงประชามติ ผู้ออกเสียงควรรู้อนาคตของสังคมการเมืองไทย หรือจะปล่อยให้ผู้ออกเสียงเดาทางกันเอง ดังนั้นเพื่อไม่ปล่อยให้ “ผู้มีอำนาจอุบไต๋ ให้ประชาชนเดาทาง” จึงขอเสนอให้เปลี่ยนเป็น “ผู้มีอำนาจเปิดไต๋ ให้ประชาชนรู้ทาง” ในการนี้ขอเสนอให้ สนช.ตั้งคำถามประชามติดังนี้
“ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้รับความเห็นชอบโดยเสียงส่วนใหญ่ของบัตรดีที่ใช้ในการลงประชามติ ท่านเห็นว่าควรนำรัฐธรรมนูญฉบับใดระหว่างรัฐธรรมนูญสองฉบับต่อไปนี้ ฉบับปี พ.ศ. 2540 หรือ ฉบับปี พ.ศ. 2550 มาแก้ไขเพิ่มเติมเท่าที่จำเป็นเพื่อให้เป็นปัจจุบัน แล้วนำขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยภายใน 30 วัน นับแต่วันประกาศผลการออกเสียงประชามติ ทั้งนี้ขอให้ท่านเลือกโดยกากบาทลงในช่อง * เพียงช่องเดียว”
การตอบคำถามประชามติตามตัวอย่างข้างต้นนี้ จะมีผลบังคับเป็นการวางกรอบให้ คสช.ดำเนินการตามความเห็นของประชาชน ซึ่งเลือกชอบฉบับหนึ่งฉบับใดในบรรดา 2 ฉบับที่ประชาชนเคยเห็นชอบมาแล้ว กล่าวคือฉบับปี พ.ศ. 2540 ได้รับความเห็นชอบโดยรัฐสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง และฉบับปี พ.ศ. 2550 ได้รับความเห็นชอบโดยการออกเสียงประชามติ
ประเด็นที่สี่ที่ขอนำเสนอ ก็คือ ถ้าดำเนินการตามข้อเสนอข้างต้น รัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ของไทย ซึ่งจำแลงมาจากฉบับปี พ.ศ. 2540 หรือปี พ.ศ. 2550 ก็ตาม ควรจะเป็นฉบับถาวรตลอดไปหรือไม่ ช่วงเปลี่ยนผ่านของเราจบลงแล้วหรือ ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 เป็นที่ยอมรับ และเห็นพ้องต้องกันในบรรดาตัวละครทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนักการเมืองค่ายต่างๆ และทุกฝ่ายพร้อมที่จะใช้กติกานี้แข่งขันในเกมอำนาจอย่างมีน้ำใจนักกีฬา ก็แสดงว่าเราพ้นโค้งอันตรายแล้ว
หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านและต้องเร่งประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 แล้วละก็ เราจะรู้สึกไหมว่านี่ควรเป็นฉบับถาวร ถ้าไม่ แล้วจะทำอย่างไรดี หากจะร่างฉบับถาวรโดยใช้ทีมผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งนำโดยอาจารย์ด้านกฎหมายมาร่างเป็นครั้งที่ 3 ก็คงไม่ไหว จึงขอเสนอให้เปลี่ยนกลับไปหากระบวนการที่ช่วยให้ประชาชนรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของมากขึ้น ได้แก่กระบวนการที่ใช้กันในหลายประเทศ คือ การมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ตัวแบบของ ส.ส.ร.ที่ร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 น่าจะพอใช้ได้ โดย ส.ส.ร.ส่วนใหญ่มาจากการเลือกกันเองจังหวัดละ 10 คน แล้วให้รัฐสภาเลือกเหลือจังหวัดละ 1 คน ส่วน ส.ส.ร.อีกยี่สิบกว่าคนก็เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีคณะกรรมการสรรหาแล้วเสนอชื่อให้รัฐสภาเลือกเช่นกัน
ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าความคิดเรื่องการมี ส.ส.ร. เพื่อจัดกระบวนการเรียนรู้ทางการเมือง สร้างความเห็นพ้องในกติกาที่จะเป็นสัญญาประชาคม และแปลงเปลี่ยนความขัดแย้งทางการเมืองจากการขัดแย้งแบบแพ้-ชนะ เป็นความขัดแย้งที่มีการร่วมมือขับเคลื่อนสังคมการเมืองไปด้วยกันในภาพรวมนั้น จะมีความเป็นไปได้สักเพียงใด จึงขอตั้งเป็นประเด็นให้ช่วยกันไตร่ตรองและถกแถลงกันต่อไปครับ ถ้าคิดได้เร็วหน่อยจะใส่เป็นบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ก็ยังได้ แต่ที่อยากขอให้หลีกเลี่ยงคือความรู้สึกท้อแท้ เบื่อการเมือง หรือมองว่ามีแต่ความรุนแรงรอบใหม่เท่านั้นที่จะช่วยขับเคลื่อนสังคมจากอนุรักษนิยมที่เกินขนาด
ผมว่าเราควรทำให้ดีที่สุด มีความหวังอยู่เสมอ หากเหตุร้ายจะเกิดขึ้นจนได้ อย่างที่เคยเกิด ก็ยังปลอบใจว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว และยังจะคงทำต่อไป


