Peer-to-peer lending กับอนาคตระบบสินเชื่อไทย
โดย...ดร.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น
โดย...ดร.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น
จากบทความ “Fintech กับความเสี่ยงสถาบันการเงินไทย” เมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ผมได้นำท่านผู้อ่านไปรู้จักกับ Fintech มาแล้วเบื้องต้น
วันนี้ผมอยากจะชวนท่านผู้อ่านมารู้จักบริการทางการเงินในช่องทางของ Deposit and Lending อย่างละเอียดมากขึ้นครับ ซึ่งมีหลายรูปแบบ 1) Crowd Funding ที่เป็นการระดมทุนผ่านตลาดทุน 2) P2P (Peer-to-Peer) Lending ผ่านตลาดสินเชื่อ และ 3) Marketplace Lending ผ่านตลาดสินเชื่อระยะสั้น
บทความนี้ผมขอเจาะลึกไปที่ P2P Lending และ Marketplace Lending ที่มีผู้ประกอบการหลายรายไปหารือแนวทางและขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาต ผมคิดว่าอีกไม่นานเราคงได้เห็นการระดมเงินทุนแบบดังกล่าวในประเทศไทย
ธุรกิจนี้เกิดขึ้นจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจ P2P Lending และ Marketplace Lending ได้มองเห็นโอกาสในการเชื่อมโยงระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ทดแทนธนาคารผ่านการนำเทคโนโลยี และการประมวลผลข้อมูลที่มีความซับซ้อน (Big data analysis)
รูปแบบธุรกิจของ P2P Lending คือ ผู้ให้บริการ P2P Lending สร้าง Platform เพื่อให้ผู้ปล่อยกู้สามารถเลือกลักษณะของผู้กู้ที่ตัวเองต้องการได้โดยตรงผ่านการวิเคราะห์ด้วย Credit scoring model ที่สร้างโดยผู้ให้บริการ P2P Lending
ส่วนธุรกิจ Marketplace Lending คือ ธุรกิจที่ระดมเงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบัน หรือเงินทุนของตัวเองเพื่อปล่อยกู้ให้แก่ธุรกิจที่ต้องการเงินทุน ส่วนมากมักเป็น SMEs
ก่อนอื่นผมขอยกตัวอย่างเพื่อให้ทุกท่านเห็นภาพของธุรกิจ P2P Lending ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากจนสามารถจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange เมื่อปลายปี 2014 ชื่อ Lending Club กันครับ
Lending Club ได้สร้าง Credit scoring model ในการประเมินความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ผู้ขอกู้ โดยจะแบ่งความเสี่ยงออกเป็น 7 ระดับ (A-G) โดยระบบดังกล่าวสามารถประมวลผลวงเงินและอัตราดอกเบี้ยภายหลังจากผู้ขอกู้ให้ข้อมูลรายละเอียดที่ต้องการเพียงไม่กี่ชั่วโมง และนำ Profile ความเสี่ยงและวัตถุประสงค์การกู้โพสต์ผ่าน Platform ที่สร้างขึ้น เพื่อให้ผู้ที่ต้องการปล่อยกู้เลือกปล่อยกู้ตามต้องการ โดย Lending Club ได้ช่วยผู้ปล่อยกู้กระจายความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของผู้กู้
มีการกำหนดเงินขั้นต่ำในการปล่อยกู้แต่ละรายเป็นหน่วยลงทุนเพียงหน่วยละ 25 เหรียญสหรัฐ นั่นหมายความว่าหากท่านอยากจะปล่อยกู้ 100 เหรียญสหรัฐ ท่านสามารถกระจายการลงทุนไปแก่ผู้กู้ได้ถึง 4 ราย และแชร์ความเสี่ยงกับผู้ปล่อยกู้รายอื่นๆ
อีกทั้ง Lending Club ยังสร้างสัญญาการกู้แบบมาตรฐานเพียง 2 รูปแบบ คือ สัญญาอายุ 3 และ 5 ปี ที่มีการจ่ายเงินคืนเป็นรายเดือน เพื่อเป็นการลดปัญหาด้านสภาพคล่องที่ผู้ปล่อยกู้จะต้องรอ 3 หรือ
5 ปีในการได้เงินต้นคืน Lending Club ยังสร้างตลาดชื่อว่า Folio ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ผู้ปล่อยกู้สามารถนำหน่วยลงทุนของตัวเองมาซื้อขายกับนักลงทุนอื่นผ่านตลาดรองได้
ท่านอาจสงสัยว่ารายได้ของธุรกิจลักษณะนี้จะมาจากไหน Lending Club มีรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมในการจัดเก็บดอกเบี้ยและเงินต้นจากทั้งผู้กู้และผู้ปล่อยกู้ และค่าธรรมเนียมในการให้บริการทวงหนี้หากผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้
ในฝั่งของยุโรปก็ได้มีผู้ประกอบธุรกิจในลักษณะเดียวกันนี้ชื่อ Zopa โดยสิ่งที่มีเพิ่มเติมจาก Lending Club คือ Zopa ได้จัดตั้งกองทุน Safeguard Trust เพื่อประกันความเสี่ยงของผู้ปล่อยกู้ โดยกองทุนดังกล่าวได้เก็บเงินจากผู้กู้ตามความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของตัวเอง ท่านเห็นแล้วใช่ไหมครับว่าผู้ให้บริการ P2P Lending ไม่ได้ใช้เงินทุนของตัวเองในการปล่อยกู้ แต่จะทำเพียงสร้าง Platform ที่ใช้
เชื่อมโยงเท่านั้น
แต่ธุรกิจ Marketplace Lending อย่างบริษัท Kabbage จะเป็นบริษัทที่ระดมเงินทุนจากนักลงทุนทั้งในรูปแบบทุนและเงินกู้เพื่อเป็นทุนในการดำเนินธุรกิจ โดยธุรกิจจะมุ่งไปที่ตลาดที่ธนาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิมไม่มีความเชี่ยวชาญคือการให้สินเชื่อแก่ SMEs
โดย Kabbage คิดค้นและพัฒนา Credit scoring model ของตัวเองที่สามารถอนุมัติสินเชื่อแก่ SMEs เพียงไม่กี่นาทีภายหลังจากการขอรับเงินกู้ผ่านทาง Kabbage Website หรือ Mobile Application ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางการขอกู้เงินที่มีความสะดวกอย่างมากเมื่อเทียบกับการขอกู้เงินจากธนาคารแบบดั้งเดิมที่ใช้เวลานานและใช้เอกสารจำนวนมากและยังมีความจำเป็นต้องใช้สินทรัพย์ค้ำประกันในการขอกู้
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจ Marketplace Lending ที่ท่านผู้อ่านน่าจะรู้จักกันดีอย่าง Amazon และ Alibaba ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้าง Online Marketplace ของตัวเองจนประสบความสำเร็จ จึงได้ขยายธุรกิจโดยนำข้อมูลของผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดของตัวเองมาประเมินความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้
Amazon ได้จัดตั้ง Amazon Lending โดยใช้ข้อมูลความนิยมของสินค้าและระดับสินค้าคงคลังของผู้ขายมาใช้ประเมินอัตราดอกเบี้ยสำหรับการปล่อยกู้ระยะ 3-6 เดือน โดย Amazon เป็นผู้ให้กู้ด้วยเงินทุนของตัวเอง
สำหรับ Alibaba ได้จัดตั้ง Alipay Financial เพื่อเสนอเงินกู้ระยะเวลา 30 วัน เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจของ SMEs ที่ขายของอยู่บน Alibaba.com และนอกจาก Alipay จะใช้เงินทุนของตัวเองในการปล่อยกู้แล้วยังได้เงินทุนเพิ่มเติมจาก China construction bank และ Industrial and Commercial Bank of China
ผมหวังว่าเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านจะสามารถมองภาพแยกระหว่าง P2P Lending และ Market Place Lending ได้ชัดเจนมากขึ้นครับ
ท่านรู้หรือไม่ว่าในไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทเหล่านี้มียอดปล่อยสินเชื่อที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดมาก เช่น ผู้ให้บริการ P2P Lending ใน US มียอดปล่อยสินเชื่อรวมสูงขึ้นจากไม่กี่ร้อยล้าน USD ในปี 2012 มาเป็นประมาณ 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2015
ผมขอสรุปปัจจัยที่ทำให้บริษัทเหล่านี้เติบโตอย่างรวดเร็วดังนี้ 1.การให้สินเชื่อแบบ Unsecured Loan ที่ผู้ขอกู้ไม่ต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกัน 2.เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ไม่ใช่ธุรกิจรับฝากเงินจึงไม่อยู่ภายใต้การกำกับจากทางการ 3.การนำเทคโนโลยีมาประเมินข้อมูลรูปแบบใหม่ เช่น ข้อมูลจาก Social Network หรือข้อมูลจาก GPS ในการประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ 4.การเป็นธุรกิจในรูปแบบ Online-Based ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีสาขาและทรัพยากรในการดำเนินธุรกิจจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ผมยังยืนยันว่าธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับธนาคาร เพราะตลาดเป้าหมายของธุรกิจเหล่านี้เป็นตลาดที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ได้ลงมาแข่งขันอย่างเต็มตัว และทิ้งช่องว่างไว้ให้ผู้เล่นรายอื่น ยิ่งไปกว่านั้นส่วนหนึ่งที่ธุรกิจเหล่านี้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว ก็มาจากเงินลงทุนจากธนาคารที่มาลงทุนในหน่วยลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตสินเชื่อของตัวเอง
P2P Lending และ Marketplace Lending เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะมีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจไทย เพราะช่วยปลดล็อกปัญหาการระดมเงินทุนของ SMEs และปัญหาหนี้นอกระบบได้ แต่ในขณะเดียวกันแนวทางในการกำกับดูแลจะต้องวางแผนอย่างรัดกุม เพราะหากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้พร้อมกันจะนำมาซึ่งปัญหาเชิงระบบครั้งใหญ่ได้


