ทนายแจงสมเด็จช่วงคืนรถโบราณให้ผู้บริจาคแล้ว
ทนายวัดปากน้ำฯแจงใช้ชื่อสมเด็จช่วงครอบครองรถฯแค่เป็นหลักฐานเสียภาษี ระบุส่งคืนผู้บริจาคแล้วเมื่อเดือนก.พ.แต่ยังฝากเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ยันพระไม่รู้เรื่องรถจดประกอบ
ทนายวัดปากน้ำฯแจงใช้ชื่อสมเด็จช่วงครอบครองรถฯแค่เป็นหลักฐานเสียภาษี ระบุส่งคืนผู้บริจาคแล้วเมื่อเดือนก.พ.แต่ยังฝากเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ยันพระไม่รู้เรื่องรถจดประกอบ
เมื่อวันที่ 2 มี.ค. นายสมศักดิ์ โตรักษา ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำภาษีเจริญ และนายสุรพงษ์ สิทธิกรณ์ ผู้รับมอบอำนาจจากพระมหาศาสนมุนี หรือ หลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ และเลขานุการสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เข้ายื่นหนังสือพร้อมหลักฐานประกอบการชี้แจงกรณีรถจดประกอบเลี่ยงภาษีทะเบียน ขม. 99 กรุงเทพมหานคร ที่มีชื่อของสมเด็จช่วงเป็นผู้ครอบครอง
นายสมศักดิ์ กล่าวก่อนเข้าชี้แจงกับดีเอสไอว่า จากข้อเท็จจริงและหลักฐานที่มีทั้งหมดสมเด็จช่วงบริสุทธิ์แน่นอน ไม่มีความผิดเกี่ยวกับเรื่องรถเลย วัดปากน้ำฯมีวัตถุประสงค์ทำพิพิธภัณฑ์มานานแล้วจากนั้นก็มีพุทธศาสนิกชนรวบรวมเงินมาบริจาค ซึ่งมีทั้งการบริจาคเป็นสิ่งของเพื่อนำไปเก็บไว้ที่มหาเจดีย์มหารัชมงคล รถคันดังกล่าวผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเพื่อถวายในนามสมเด็จช่วง มีการนำเอกสารมาให้ลงนาม จึงปรากฏชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งลายเซ็นที่พบในขั้นตอนการจดทะเบียนเป็นลายเซ็นของสมเด็จช่วงจริง
อย่างไรก็ตาม รถคันดังกล่าวมีการนำมาจัดแสดงให้ประชาชน ไม่มีการนำไปใช้งานจริง โดยได้รับการบริจาคตั้งแต่ปี 2554 แต่เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2556 ได้มีการแจ้งไม่ใช้รถถาวร ทั้งนี้ เมื่อมีรถปัญหาเกิดขึ้นก็ต้องส่งคืนผู้บริจาค เมื่อนำรถคืนไปที่ผู้บริจาคแล้วก็ต้องไปดำเนินคดีกับผู้ขาย ซึ่งขณะนี้มีการฟ้องร้องคดีกับศาลจังหวัดตลิ่งชัน
เมื่อถามย้ำว่าคืนให้กับผู้บริจาคคนใดนายสมศักดิ์เลี่ยงที่จะระบุ แต่ย้ำว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดวันนี้เป็นการพิสูจน์ว่าสมเด็จช่วงไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยวข้อง ขณะนี้รถยังเป็นชื่อของสมเด็จช่วง การที่ยังมีชื่อสมเด็จช่วงครอบครองอยู่ก็เพียงแค่ใช้เป็นหลักฐานการเสียภาษีเท่านั้น
ด้านนายสุรพงษ์ กล่าวชี้แจงในส่วนของหลวงพี่แป๊ะว่า รถดังกล่าวซื้อมาจากนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ ซึ่งเหตุที่ซื้อเพราะผู้มีจิตศรัทธาตั้งใจบริจาคจึงต้องการซื้อจากผู้ที่มีความรู้เรื่องรถโบราณ ซึ่งนายวิชาญเป็นกรรมการชมรมรถโบราณแห่งประเทศไทย ถือว่ามีความชำนาญ ไม่ได้เป็นการขายคนแค่คันเดียวแต่ขายมาแล้วหลายคัน
นอกจากนี้พระไม่ได้ไม่ได้มีความรู้เรื่องรถ แต่เป็นเหยื่อการขายรถ โดยไม่ทราบว่ารถดังกล่าวมีความเป็นมาอย่างไร รถจะถูกต้องหรือไม่เป็นหน้าที่ของผู้ขาย ในสัญญาซื้อขายระบุไว้ชัดเจนว่าการซื้อขายต้องจดทะเบียนเสียภาษีถูกต้อง การซื้อขายก็ไม่ได้เป็นการซื้อที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะซื้อในราคา 4 ล้านบาท
"รถคันนี้มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องโดยกรมการขนส่งทางบกทำให้เชื่อโดยสุจริตว่าเป็นรถที่ชอบด้วยกฎหมาย หากกระบวนการของรถไม่ถูกต้องควรไปดำเนินคดีกับคนขายไม่ใช่ผู้บริโภค หลวงพี่แป๊ะเป็นพระไม่ใช่อู่ประกอบรถ กรณีที่อู่วิชาญยืนยันว่าพระเป็นผู้จัดหาอะไหล่ให้นั้น อู่จะยืนยันอย่างไรก็ได้ แต่ขณะนี้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีที่ศาลตลิ่งชันไว้หลายวันแล้ว"ทนายผู้รับมอบอำนาจกล่าว
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ตอนนั้นเราเป็นผู้ซื้อ เป็นผู้บริโภค มีกรมการขนส่งทางบกเป็นหน่วยงานราชการเป็นผู้จดทะเบียนให้ จึงเชื่อโดยสุจริตว่ารถดังกล่าวน่าจะชอบด้วยกฎหมาย การที่ดีเอสไอมาเอาผิดผู้ซื้อ อยากให้กลับไปถามว่าทำไมไม่ดำเนินการกับคนขายที่ดำเนินการไม่ถูกต้องหรือจดประกอบไม่ถูกต้อง ถ้ากระบวนการไม่ถูกควรไปดำเนินการกับคนขาย หลวงพี่แป๊ะเป็นพระไม่ใช่อู่ประกอบรถยนต์
ด้านพ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ ดีเอสไอ กล่าวว่า ในวันนี้ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ไม่ได้เข้าร่วมในการพูดคุยแต่ได้มอบหมายให้สำนักคดีที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยมีพ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผบ.สำนักคดีภาษีอากร รับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอน
ผู้สื่อข่าวรายงานในการชี้แจงวันนี้ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำฯได้นำหลักฐานบางส่วนมาชี้แจงกับสื่อมวลชนประกอบด้วยสำเนาใบคู่มือจดทะเบียน เอกสารการขอยกเลิกใช้รถ รายงานการจดทะเบียน ใบสั่งซ่อมของอู่วิชาญ และมีชื่อของพระครูพิทักษ์ หรือหลวงพี่แป๊ะ เป็นผู้สั่งซ่อม เมื่อปี 2554 วงเงิน 4 ล้านบาท พร้อมลงชื่อเป็นเจ้าของรถ โดยรายละเอียดในส่งซ่อมระบุว่าจ่ายเงินค่ามัดจำซื้อรถ 1 ล้านบาท ในวันที่ 14 ธ.ค. 2553 ตกลงซื้อกับนางจริยา รัษฐปานะ งวดที่ 2 เป็นเงิน 1.5 ล้านบาท จ่ายเมื่อได้รับเอกสารทะเบียนพร้อมโอน ค่าซ่อมทั้งหมด 1.5 ล้านบาท จ่ายเมื่อเริ่มทำการซ่อม , ซื้ออะไหล่เป็นงวดๆ จนเสร็จ นอกจากนี้ยังได้นำภาพถ่ายเจดีย์ สถานที่เก็บรถพร้อมถ่ายภาพรถยนต์ที่เป็นปัญหาและประสงค์ส่งคืนผู้บริจาค ซึ่งจากภาพถ่ายพบว่ารถคันดังกล่าวยังจอดอยู่ในตำแหน่งเดิม
ส่วนรายการจดทะเบียนรถยนต์ของสมเด็จช่วงพบว่าวันที่จดทะเบียนเป็นผู้ครอบครองรถเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2554 ตรงกับวันเกิดของสมเด็จช่วงคือวันที่ 26 ส.ค. 2468


