posttoday

ทนายแจงสมเด็จช่วงคืนรถโบราณให้ผู้บริจาคแล้ว

02 มีนาคม 2559

ทนายวัดปากน้ำฯแจงใช้ชื่อสมเด็จช่วงครอบครองรถฯแค่เป็นหลักฐานเสียภาษี ระบุส่งคืนผู้บริจาคแล้วเมื่อเดือนก.พ.แต่ยังฝากเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ยันพระไม่รู้เรื่องรถจดประกอบ

ทนายวัดปากน้ำฯแจงใช้ชื่อสมเด็จช่วงครอบครองรถฯแค่เป็นหลักฐานเสียภาษี ระบุส่งคืนผู้บริจาคแล้วเมื่อเดือนก.พ.แต่ยังฝากเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ยันพระไม่รู้เรื่องรถจดประกอบ

เมื่อวันที่ 2 มี.ค. นายสมศักดิ์  โตรักษา ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำภาษีเจริญ และนายสุรพงษ์  สิทธิกรณ์ ผู้รับมอบอำนาจจากพระมหาศาสนมุนี หรือ หลวงพี่แป๊ะ  ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ และเลขานุการสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  หรือสมเด็จช่วง  เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ  ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช   เข้ายื่นหนังสือพร้อมหลักฐานประกอบการชี้แจงกรณีรถจดประกอบเลี่ยงภาษีทะเบียน ขม. 99 กรุงเทพมหานคร ที่มีชื่อของสมเด็จช่วงเป็นผู้ครอบครอง 

นายสมศักดิ์  กล่าวก่อนเข้าชี้แจงกับดีเอสไอว่า  จากข้อเท็จจริงและหลักฐานที่มีทั้งหมดสมเด็จช่วงบริสุทธิ์แน่นอน ไม่มีความผิดเกี่ยวกับเรื่องรถเลย  วัดปากน้ำฯมีวัตถุประสงค์ทำพิพิธภัณฑ์มานานแล้วจากนั้นก็มีพุทธศาสนิกชนรวบรวมเงินมาบริจาค ซึ่งมีทั้งการบริจาคเป็นสิ่งของเพื่อนำไปเก็บไว้ที่มหาเจดีย์มหารัชมงคล รถคันดังกล่าวผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเพื่อถวายในนามสมเด็จช่วง มีการนำเอกสารมาให้ลงนาม จึงปรากฏชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งลายเซ็นที่พบในขั้นตอนการจดทะเบียนเป็นลายเซ็นของสมเด็จช่วงจริง 

อย่างไรก็ตาม รถคันดังกล่าวมีการนำมาจัดแสดงให้ประชาชน ไม่มีการนำไปใช้งานจริง  โดยได้รับการบริจาคตั้งแต่ปี 2554 แต่เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2556 ได้มีการแจ้งไม่ใช้รถถาวร  ทั้งนี้ เมื่อมีรถปัญหาเกิดขึ้นก็ต้องส่งคืนผู้บริจาค  เมื่อนำรถคืนไปที่ผู้บริจาคแล้วก็ต้องไปดำเนินคดีกับผู้ขาย  ซึ่งขณะนี้มีการฟ้องร้องคดีกับศาลจังหวัดตลิ่งชัน 

เมื่อถามย้ำว่าคืนให้กับผู้บริจาคคนใดนายสมศักดิ์เลี่ยงที่จะระบุ  แต่ย้ำว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดวันนี้เป็นการพิสูจน์ว่าสมเด็จช่วงไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยวข้อง  ขณะนี้รถยังเป็นชื่อของสมเด็จช่วง  การที่ยังมีชื่อสมเด็จช่วงครอบครองอยู่ก็เพียงแค่ใช้เป็นหลักฐานการเสียภาษีเท่านั้น

ทนายแจงสมเด็จช่วงคืนรถโบราณให้ผู้บริจาคแล้ว

ด้านนายสุรพงษ์  กล่าวชี้แจงในส่วนของหลวงพี่แป๊ะว่า รถดังกล่าวซื้อมาจากนายวิชาญ  รัษฐปานะ  เจ้าของอู่วิชาญ  ซึ่งเหตุที่ซื้อเพราะผู้มีจิตศรัทธาตั้งใจบริจาคจึงต้องการซื้อจากผู้ที่มีความรู้เรื่องรถโบราณ ซึ่งนายวิชาญเป็นกรรมการชมรมรถโบราณแห่งประเทศไทย  ถือว่ามีความชำนาญ  ไม่ได้เป็นการขายคนแค่คันเดียวแต่ขายมาแล้วหลายคัน 

นอกจากนี้พระไม่ได้ไม่ได้มีความรู้เรื่องรถ แต่เป็นเหยื่อการขายรถ โดยไม่ทราบว่ารถดังกล่าวมีความเป็นมาอย่างไร  รถจะถูกต้องหรือไม่เป็นหน้าที่ของผู้ขาย  ในสัญญาซื้อขายระบุไว้ชัดเจนว่าการซื้อขายต้องจดทะเบียนเสียภาษีถูกต้อง   การซื้อขายก็ไม่ได้เป็นการซื้อที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริง  เพราะซื้อในราคา 4 ล้านบาท 

"รถคันนี้มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องโดยกรมการขนส่งทางบกทำให้เชื่อโดยสุจริตว่าเป็นรถที่ชอบด้วยกฎหมาย  หากกระบวนการของรถไม่ถูกต้องควรไปดำเนินคดีกับคนขายไม่ใช่ผู้บริโภค  หลวงพี่แป๊ะเป็นพระไม่ใช่อู่ประกอบรถ  กรณีที่อู่วิชาญยืนยันว่าพระเป็นผู้จัดหาอะไหล่ให้นั้น อู่จะยืนยันอย่างไรก็ได้  แต่ขณะนี้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีที่ศาลตลิ่งชันไว้หลายวันแล้ว"ทนายผู้รับมอบอำนาจกล่าว

นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า  ตอนนั้นเราเป็นผู้ซื้อ  เป็นผู้บริโภค  มีกรมการขนส่งทางบกเป็นหน่วยงานราชการเป็นผู้จดทะเบียนให้  จึงเชื่อโดยสุจริตว่ารถดังกล่าวน่าจะชอบด้วยกฎหมาย การที่ดีเอสไอมาเอาผิดผู้ซื้อ  อยากให้กลับไปถามว่าทำไมไม่ดำเนินการกับคนขายที่ดำเนินการไม่ถูกต้องหรือจดประกอบไม่ถูกต้อง  ถ้ากระบวนการไม่ถูกควรไปดำเนินการกับคนขาย  หลวงพี่แป๊ะเป็นพระไม่ใช่อู่ประกอบรถยนต์

ด้านพ.ต.ต.วรณัน  ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ ดีเอสไอ กล่าวว่า ในวันนี้ พ.ต.อ.ไพสิฐ  วงศ์เมือง  อธิบดีดีเอสไอ  ไม่ได้เข้าร่วมในการพูดคุยแต่ได้มอบหมายให้สำนักคดีที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยมีพ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผบ.สำนักคดีภาษีอากร รับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอน

ผู้สื่อข่าวรายงานในการชี้แจงวันนี้ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำฯได้นำหลักฐานบางส่วนมาชี้แจงกับสื่อมวลชนประกอบด้วยสำเนาใบคู่มือจดทะเบียน  เอกสารการขอยกเลิกใช้รถ  รายงานการจดทะเบียน  ใบสั่งซ่อมของอู่วิชาญ  และมีชื่อของพระครูพิทักษ์  หรือหลวงพี่แป๊ะ เป็นผู้สั่งซ่อม เมื่อปี 2554 วงเงิน 4 ล้านบาท พร้อมลงชื่อเป็นเจ้าของรถ  โดยรายละเอียดในส่งซ่อมระบุว่าจ่ายเงินค่ามัดจำซื้อรถ 1 ล้านบาท ในวันที่ 14 ธ.ค. 2553  ตกลงซื้อกับนางจริยา รัษฐปานะ  งวดที่ 2 เป็นเงิน 1.5 ล้านบาท จ่ายเมื่อได้รับเอกสารทะเบียนพร้อมโอน ค่าซ่อมทั้งหมด 1.5 ล้านบาท จ่ายเมื่อเริ่มทำการซ่อม , ซื้ออะไหล่เป็นงวดๆ จนเสร็จ   นอกจากนี้ยังได้นำภาพถ่ายเจดีย์  สถานที่เก็บรถพร้อมถ่ายภาพรถยนต์ที่เป็นปัญหาและประสงค์ส่งคืนผู้บริจาค  ซึ่งจากภาพถ่ายพบว่ารถคันดังกล่าวยังจอดอยู่ในตำแหน่งเดิม

ส่วนรายการจดทะเบียนรถยนต์ของสมเด็จช่วงพบว่าวันที่จดทะเบียนเป็นผู้ครอบครองรถเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2554 ตรงกับวันเกิดของสมเด็จช่วงคือวันที่ 26 ส.ค. 2468 

ข่าวล่าสุด

เลิกวนลูป! ส่อง 3 เป้าหมายยอดนิยมที่คนไทยตั้งไว้ทุกต้นปี เป็นจริงได้อย่างไร?