จับตาผ่อนปรนหฎหมายหลายฉบับ เอื้อผุดโรงไฟฟ้าขยะทั่วประเทศ
โรงไฟฟ้าขยะเป็นหนึ่งในโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
โรงไฟฟ้าขยะเป็นหนึ่งในโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เมื่อปี 2553
โรงไฟฟ้าขยะ "ทุกขนาด" จึงถูกบังคับให้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)
ทว่า ในปัจจุบันรัฐบาลได้ลดทอนภาพความรุนแรงของอุตสาหกรรมอันตรายลงด้วยการสร้างความรู้สึกร่วมของสังคมขึ้นมาใหม่ว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า และต้องเร่งรัดแก้ปัญหาวิกฤตขยะล้นเมือง
นำมาซึ่งการออกประกาศ ทส. ฉบับที่ 7/2558 ในวันที่ 9 ก.ย. 2558 ให้ยกเว้นการจัดทำอีไอเอในโรงงานพลังงานความร้อนที่ใช้ขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิงทุกขนาด ก่อนที่จะมีคำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 ในวันที่ 20 ม.ค. 2559 ยกเว้นการบังคับใช้ผังเมืองรวมใน 5 กิจการ โดย 2 ใน 5 คือ โรงไฟฟ้าและโรงเผาขยะ ตามมาอีกคำรบ
นั่นหมายความว่า "โรงไฟฟ้าขยะ" ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมอันตราย จากนี้สามารถก่อสร้างได้ในทุกพื้นที่ โดยไม่ต้องสนใจสีของผังเมือง และไม่จำเป็นต้องทำอีไอเออีกต่อไป
หากย้อนถ้อยแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติ วันที่ 20 ก.พ. 2558 ยิ่งชัดเจนว่านี่เป็นความพยายามตั้งแต่แรกเริ่มของ คสช.
"รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแปรรูปขยะให้เป็นพลังงานด้วยการใช้เทคโนโลยีแบบผสมผสาน มีเป้าหมายตั้งโรงผลิตไฟฟ้าจากการแปรรูปขยะ 53 แห่งทั่วประเทศ ยืนยันว่าไม่สร้างมลพิษและอันตรายกับประชาชน" พล.อ.ประยุทธ์ พูดชัด
ตัวเลขโรงไฟฟ้าขยะ 53 แห่ง เป็นไปตามแผนแม่บทการจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ พ.ศ. 2559-2564 ของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ที่ระบุถึงพื้นที่ที่มีศักยภาพในการแปรรูปขยะมูลฝอยเป็นพลังงาน โดยพบว่าปัจจุบันได้เปิดดำเนินการแล้ว 2 แห่ง และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 3 แห่ง
มากไปกว่านั้น หากพิจารณา Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ซึ่ง คพ.เสนอให้ คสช.เห็นชอบไปเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2557 จะพบว่า ส่วนหนึ่งของมาตรการการบริหารจัดการขยะในระยะเร่งด่วน คือการพิจารณาผ่อนปรนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
นอกจากรายงานอีไอเอและ พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2516 ซึ่งอยู่ใน Roadmap และได้รับการผ่อนปรนไปแล้ว ในอนาคตอันใกล้นี้จะมีการผ่อนปรนประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการทำรายงานเกี่ยวกับการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพ สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย พ.ศ. 2552
รวมถึง พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 และ การออกมาตรการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนในการจัดการขยะมูลฝอย และของเสียอันตราย อีกด้วย
นั่นเพราะ แผนพัฒนาพลังงานทดแทน 15 ปี (พ.ศ. 2551-2565) ของกระทรวงพลังงาน ได้วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาพลังงานขยะเชิงเศรษฐศาสตร์ไว้ว่า โครงการพลังงานขยะมีการลงทุนสูง แต่มีผลตอบแทนต่ำ ระยะเวลาในการคืนทุนนาน และอัตรา Adder ยังไม่เหมาะสม จึงยากที่จะดึงดูดให้เอกชนสนใจมาลงทุน
สำหรับต้นทุนการก่อสร้างเตาเผาขยะเพื่อผลิตไฟฟ้าจะแปรผันตามปริมาณขยะมูลฝอย ประเมินกันว่า ขยะ 150 ตัน/วัน ต้องใช้เงินลงทุน 8.5 ล้านบาท/ตัน/วัน และค่าบำรุงรักษา 1,050 บาท/ตัน/วัน ขณะที่ขยะ 1,000 ตัน/วัน เงินลงทุน 5 ล้านบาท/ตัน/วัน ค่าบำรุงรักษา 760 บาท/ตัน/วัน
ข้อเสนอของกระทรวงพลังงานที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ จะมีการปรับมูลค่าขั้นต่ำของโครงการที่ต้องเข้า พ.ร.บ.ร่วมทุน จากเดิม 1,000 ล้านบาท ขยายเป็น 3,000-5,000 ล้านบาท และปรับ พ.ร.บ.ร่วมทุน เพื่อส่งเสริมให้เรื่องพลังงานทดแทนสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเข้าเงื่อนไข
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ระบุว่า กว่า 50-60% ของปริมาณ ขยะในประเทศไทยเป็น "ขยะเปียก" ซึ่งหากต้องการให้เกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์จะต้องเพิ่มเชื้อเพลิงและใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่นำเข้าจากต่างประเทศ นั่นทำให้การผลิตไฟฟ้า 1 หน่วย ต้องใช้ต้นทุนสูง จึงไม่มีเอกชนสนใจเพราะไม่คุ้มค่าการลงทุน
"ในเมื่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงมาก ผู้ประกอบการก็ต้องหาทางลดต้นทุน ทางออกก็คือการลดระดับเทคโนโลยีลง ปัญหาเรื่องมลพิษก็จะเกิดขึ้น" เพ็ญโฉม ระบุ
หน่วยงานระดับรัฐบาลกลางของสหรัฐ อเมริกาอย่าง สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (US.EPA) คาดการณ์ว่ามลพิษจาก โรงไฟฟ้าขยะเป็นต้นเหตุทำให้ประชากรกว่า 2 ล้านรายทั่วโลกเสียชีวิต
กลุ่มสารพิษอันตรายที่เกิดจากการเผาไหม้ก็คือ "ไดออกซิน" (Dioxins) ซึ่งมีสารพิษทั้งสิ้น 75 ชนิด แม้ว่าผลร้ายต่อสุขภาพจะไม่ได้แสดงอาการอย่างเฉียบพลัน แต่ก็มีโอกาสทวีความรุนแรงถึงขั้น "เสียชีวิต" ได้ ภายใน 14-28 ชั่วโมง
ข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า มีสารไดออกซินชนิดหนึ่งที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม "สารก่อมะเร็ง กลุ่มที่ 1" คือสารเคมีที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นสาร ก่อมะเร็งในมนุษย์
จนถึงขณะนี้คงไม่สามารถยับยั้งโครงการโรงไฟฟ้าขยะได้ สนธิ คชวัฒน์ ประธานชมรมนักวิชาการ สิ่งแวดล้อมไทย เสนอแนะว่า จำเป็นต้องนำมาตรการ อีไอเอและกระบวนการมีส่วนร่วมกลับมาใช้ รวมถึงกำหนดแนวทางการชดเชยเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วย
"เชื่อว่าชาวบ้านไม่ได้คัดค้านหรือต่อต้านโรงไฟฟ้าขยะ แต่ชาวบ้านไม่เชื่อมั่นและไม่มีหลักประกันว่า เมื่อโครงการเกิดขึ้นแล้วจะเป็นไปตามมาตรฐานและมีการควบคุมมลพิษจริง" นักวิชาการรายนี้ ระบุ


