คชสีห์กับราชสีห์ (จบ)
คชสีห์ คสช.กำลังคิดการใหญ่อยู่เรื่องหนึ่ง ในบทความนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผู้เขียนได้บรรยายถึงความสัมพันธ์
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
คชสีห์ คสช.กำลังคิดการใหญ่อยู่เรื่องหนึ่ง
ในบทความนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผู้เขียนได้บรรยายถึงความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับมหาดไทย ในแง่มุมทางการเมือง การปกครอง และการบริหาร มาพอสังเขป สรุปความได้ว่าทหารหรือคชสีห์พยายามที่จะแผ่ขยายอำนาจเข้าครอบคลุมมหาดไทยหรือราชสีห์ ซึ่งในสัปดาห์นี้จะมาสรุปจบว่า ที่ทหารในยุคนี้คือ คสช.ต้องดำเนินการแบบนี้ด้วยเหตุผลใด
ถ้าท่านผู้อ่านจำได้ หลังการรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค. 2557 คสช.ได้มีประกาศออกมาหลายฉบับ ในจำนวนนั้นก็คือการระงับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารและสมาชิกองค์กรปกครองท้องถิ่น แล้วให้มีข้าราชการประจำซึ่งส่วนใหญ่ก็คือกระทรวงมหาดไทยเข้ากำกับดูแลทั้งในฝ่ายบริหารและสภาของแต่ละท้องถิ่นนั้นแทน ที่ได้สร้างความแปลกใจให้กับวงการนักปกครองเป็นอย่างมาก เพราะเท่าที่ผู้เขียนได้รับฟังข้อมูลจากข้าราชการของกระทรวงมหาดไทยกับลูกศิษย์ที่ทำงานอยู่ในองค์กรปกครองท้องถิ่น ต่างก็ไม่เข้าใจในการตัดสินใจแบบนี้ของทหาร
แต่เดิมการบริหารท้องถิ่นจะทำในรูปของ “กรมการ” คือมีการวางนโยบายและจัดทำแผนงานต่างๆ ร่วมกันของส่วนราชการทั้งหลายในพื้นที่ แต่ต่อมาที่รัฐบาลให้มีการบริหารจังหวัดแบบบูรณาการ (ผู้ว่าซีอีโอ) ในปี 2545 เป็นต้นมา โดยมอบหมายให้ผู้ว่าฯ ดูแลการจัดทำแผนและการแจกจ่ายงบประมาณให้กับหน่วยงานต่างๆ ทำให้มีปัญหาตามมาว่า ผู้ว่าฯ บางจังหวัดเล่นพรรคเล่นพวก รวมถึงการเอาใจอาจจะด้วยหวังผลประโยชน์ในตำแหน่งหน้าที่หรือเกรงบารมีของนักการเมือง (ที่เชื่อมโยงกันทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น) ทำให้มีปัญหาในการดูแลพื้นที่จังหวัดค่อนข้างมาก รวมถึงการบริหารงานขององค์กรปกครองท้องถิ่นนั้นด้วย
องค์กรปกครองท้องถิ่นได้กลายเป็น “แขนขา” ที่สำคัญของนักการเมืองในระดับชาติ ทั้งในส่วนของการสร้างฐานมวลชนและการสร้างฐานรายได้ แต่ที่เลวร้ายไปยิ่งกว่าก็คือการให้บริการประชาชนที่เลวลง และก่อปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย ที่สุดคือการถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการระดมประชาชนออกมาต่อสู้หรือสร้างความขัดแย้งระหว่างกัน ตั้งแต่ปี 2552 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2557 อันนำมาสู่การทำรัฐประหารในครั้งหลังนี้ แล้วทหารก็ได้ “ยุบสลาย” บรรดาผู้บริหารและสมาชิกขององค์กรปกครองท้องถิ่นดังกล่าว
มีผู้สันทัดกรณี (หมายถึงคนที่มีหน้าที่และความเชี่ยวชาญเกี่ยวข้อง ชอบคิดชอบวิจารณ์แต่ไม่ยอมออกชื่อเอาดัง) บอกกับผู้เขียนว่า ทหาร คือ คสช.คงจะคาดหวังว่าเมื่อได้มีประกาศของ คสช. “ตัดไฟร้าย” ดังกล่าวออกเสียจากท้องถิ่นและจังหวัดต่างๆ แล้ว นโยบายที่ คสช.ต้องการผลักดัน เช่น การบริหารราชการให้มีประสิทธิภาพ การลดคอร์รัปชั่น และที่สำคัญคือการสร้างความปรองดองนั้นคงจะดีขึ้น แต่เมื่อให้จังหวัดต่างๆ ทำงานไปในรูปแบบที่มีภาครัฐเข้าคุมตามประกาศ คสช.นั้นแล้ว กลับไม่เป็นไปตามที่ คสช.คาดหวัง ยังคงมี “เกียร์ว่าง-ทำงานเฉื่อยๆ” “เพลย์เซฟ-เอาตัวรอด ไม่กล้าตัดสินใจ” จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายอีกระลอก
การปรับเปลี่ยนนโยบายในครั้งนี้ก็คือ การนำระบบประเมินแบบ 360 องศา อย่างที่รัฐบาลโดยรองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม ได้ประกาศออกมาหลังปีใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะ “ลงแส้” ข้าราชการระดับบริหารที่ “งอมืองอเท้า” หรือ “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่” ไม่สนองต่อนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมีผลปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา จึงต้องดูว่า “ท ทหารอดทน” จะสู้กับ “ค คนขึงขัง” ได้หรือไม่ จึงนับเป็น “ไม้เด็ด” (แต่ยังไม่สุดท้าย) ของทหาร
ที่เขียนมานี่ไม่ได้ “เสี้ยมเขาให้ชนกัน” ที่จะให้ทหารทะเลาะกับข้าราชการพลเรือนทั้งหลาย แต่ในฐานะที่ผู้เขียนเรียนมาทั้งด้านรัฐประศาสนศาสตร์และรัฐศาสตร์ มีข้อแนะนำที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ปกครองประเทศซึ่งขณะนี้เป็นทหาร ดังนี้
ทหารน่าจะมองย้อนไปว่า ปัญหาเกียร์ว่างของข้าราชการในระยะเกือบสิบปีมานี้ ต้นเหตุเกิดจากอะไร และมีพัฒนาการเป็นไปอย่างไร นั่นก็คือการที่นักการเมืองทะเลาะกัน ข้าราชการเลือกที่จะอยู่ข้างฝ่ายชนะ แต่ด้วยการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ ทุกวันนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าทหารจะปราบอาชญากรการเมืองเหล่านั้นได้หรือไม่ ลิ่วล้อของอาชญากรเหล่านั้นก็ยังไชโยโห่ฮิ้ว ปลุกระดมประชาชนอยู่ทุกวัน ทหารจึงควร “จัดการ” กับอาชญากรและลิ่วล้อเหล่านั้นให้เด็ดขาด
ทหารคิดว่าการลงแส้ข้าราชการพลเรือนจะมีผลให้คนเหล่านั้นทำงานเข้มแข็งมากขึ้น แต่ข้าราชการเหล่านี้ไม่คิดอย่างนั้น เพราะพวกเขาคิดว่าทหารทำอย่างนี้เพื่อ “โชว์พาว” หรือกำลังความใหญ่โตของทหารมากกว่า แต่บางคนคิดลบไปกว่านั้นว่า “ก็แค่แม่อึ่งพองตัวให้ลูกอึ่งดู” หรือ “เขียนเสือให้วัวกลัว” พูดง่ายๆ คือ “เฟก” ซึ่งถ้าทหารเข้าใจกระบวนการบริหารสมัยใหม่จะเข้าใจว่า การบริหารแบบ “ป่าเถื่อน” ด้วยวิธีคิดแบบเก่านี้ ไม่สามารถบังคับ “โคนันทวิศาล” ได้
ที่ทหาร “พลาด” อย่างไม่น่าอภัยก็คือ การทำลายระบบการปกครองท้องถิ่น (แม้กระทั่งในร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยก็ไม่เน้นเรื่องนี้) แล้วให้ข้าราชการเข้าไปกำกับควบคุม ด้านหนึ่งอาจจะคิดว่านี่จะเป็นการทลาย “ซ่องโจร” ของการเมืองระดับท้องถิ่นได้ และอีกด้านหนึ่งอาจจะมองว่าข้าราชการพลเรือนโดยเฉพาะมหาดไทยนั้นจะพอใจ เพราะเอา “อำนาจ” คืนมาให้ แต่ความจริงนั้นมหาดไทยเขาไม่สบายใจมาก เพราะต้องไปทะเลาะกับ “เจ้าพ่อ” เหล่านั้น
ทั้งหมดนี้แสดงนัยอย่างหนึ่งที่ทำให้คนทั้งหลาย “ดูถูก” ทหารมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือทหารไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่ควร เพราะพอบังคับใครไม่ได้ก็จะออกกฎระเบียบใหม่ๆ มาควบคุม ซึ่งปัญหาไม่ได้เกิดจากการไม่มีกฎระเบียบ แต่เป็นปัญหาเพราะผู้รักษากฎไม่ทำตามกฎระเบียบนั้น
วิธีการที่ทหารจะทำให้คนเชื่อว่าทหารยังเข้มแข็งอยู่มีหลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายๆ น่าจะเป็นการ “ให้เกียรติ” แก่ผู้ร่วมงานมากขึ้น สร้างขวัญและกำลังใจ ร่วมกัน “รับผิด” ไม่ “รับแต่ชอบ” เพราะการบริหารราชการไทยนั้นยังไงก็ยังไม่พ้นระบบ “กรมการ” คือร่วมมือกันของทุกฝ่าย แต่เมื่อทหารจะมาทำตัวเป็นใหญ่ “ยกตนข่มท่าน” อยู่อย่างนี้ก็คงทำงานด้วยกันลำบาก
ปัญหาการบริหารราชการไทยในยุค คสช. ไม่ใช่ปัญหาว่า “ใครไม่ทำงาน” แต่เป็นเพราะต่างคนต่างทำงานส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือมีคนที่คอย “เสวยสุข” หรือเอาเปรียบเพื่อนมากเกินไป แต่ที่สำคัญก็คือ ขอให้พูดจากันดีๆอย่าข่มขู่คุกคาม หรือ “โยนอุจจาระ”ให้เพื่อน
สังคมไทยไม่ใช่ถ้ำ แต่เป็นป่าโปร่งที่น่าอยู่น่าอาศัย


