posttoday

คชสีห์กับราชสีห์ (จบ)

14 กุมภาพันธ์ 2559

คชสีห์ คสช.กำลังคิดการใหญ่อยู่เรื่องหนึ่ง ในบทความนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผู้เขียนได้บรรยายถึงความสัมพันธ์

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

คชสีห์ คสช.กำลังคิดการใหญ่อยู่เรื่องหนึ่ง

ในบทความนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผู้เขียนได้บรรยายถึงความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับมหาดไทย ในแง่มุมทางการเมือง การปกครอง และการบริหาร มาพอสังเขป สรุปความได้ว่าทหารหรือคชสีห์พยายามที่จะแผ่ขยายอำนาจเข้าครอบคลุมมหาดไทยหรือราชสีห์ ซึ่งในสัปดาห์นี้จะมาสรุปจบว่า ที่ทหารในยุคนี้คือ คสช.ต้องดำเนินการแบบนี้ด้วยเหตุผลใด

ถ้าท่านผู้อ่านจำได้ หลังการรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค. 2557 คสช.ได้มีประกาศออกมาหลายฉบับ ในจำนวนนั้นก็คือการระงับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารและสมาชิกองค์กรปกครองท้องถิ่น แล้วให้มีข้าราชการประจำซึ่งส่วนใหญ่ก็คือกระทรวงมหาดไทยเข้ากำกับดูแลทั้งในฝ่ายบริหารและสภาของแต่ละท้องถิ่นนั้นแทน ที่ได้สร้างความแปลกใจให้กับวงการนักปกครองเป็นอย่างมาก เพราะเท่าที่ผู้เขียนได้รับฟังข้อมูลจากข้าราชการของกระทรวงมหาดไทยกับลูกศิษย์ที่ทำงานอยู่ในองค์กรปกครองท้องถิ่น ต่างก็ไม่เข้าใจในการตัดสินใจแบบนี้ของทหาร

แต่เดิมการบริหารท้องถิ่นจะทำในรูปของ “กรมการ” คือมีการวางนโยบายและจัดทำแผนงานต่างๆ ร่วมกันของส่วนราชการทั้งหลายในพื้นที่ แต่ต่อมาที่รัฐบาลให้มีการบริหารจังหวัดแบบบูรณาการ (ผู้ว่าซีอีโอ) ในปี 2545 เป็นต้นมา โดยมอบหมายให้ผู้ว่าฯ ดูแลการจัดทำแผนและการแจกจ่ายงบประมาณให้กับหน่วยงานต่างๆ ทำให้มีปัญหาตามมาว่า ผู้ว่าฯ บางจังหวัดเล่นพรรคเล่นพวก รวมถึงการเอาใจอาจจะด้วยหวังผลประโยชน์ในตำแหน่งหน้าที่หรือเกรงบารมีของนักการเมือง (ที่เชื่อมโยงกันทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น) ทำให้มีปัญหาในการดูแลพื้นที่จังหวัดค่อนข้างมาก รวมถึงการบริหารงานขององค์กรปกครองท้องถิ่นนั้นด้วย

องค์กรปกครองท้องถิ่นได้กลายเป็น “แขนขา” ที่สำคัญของนักการเมืองในระดับชาติ ทั้งในส่วนของการสร้างฐานมวลชนและการสร้างฐานรายได้ แต่ที่เลวร้ายไปยิ่งกว่าก็คือการให้บริการประชาชนที่เลวลง และก่อปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย ที่สุดคือการถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการระดมประชาชนออกมาต่อสู้หรือสร้างความขัดแย้งระหว่างกัน ตั้งแต่ปี 2552 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2557 อันนำมาสู่การทำรัฐประหารในครั้งหลังนี้ แล้วทหารก็ได้ “ยุบสลาย” บรรดาผู้บริหารและสมาชิกขององค์กรปกครองท้องถิ่นดังกล่าว

มีผู้สันทัดกรณี (หมายถึงคนที่มีหน้าที่และความเชี่ยวชาญเกี่ยวข้อง ชอบคิดชอบวิจารณ์แต่ไม่ยอมออกชื่อเอาดัง) บอกกับผู้เขียนว่า ทหาร คือ คสช.คงจะคาดหวังว่าเมื่อได้มีประกาศของ คสช. “ตัดไฟร้าย” ดังกล่าวออกเสียจากท้องถิ่นและจังหวัดต่างๆ แล้ว นโยบายที่ คสช.ต้องการผลักดัน เช่น การบริหารราชการให้มีประสิทธิภาพ การลดคอร์รัปชั่น และที่สำคัญคือการสร้างความปรองดองนั้นคงจะดีขึ้น แต่เมื่อให้จังหวัดต่างๆ ทำงานไปในรูปแบบที่มีภาครัฐเข้าคุมตามประกาศ คสช.นั้นแล้ว กลับไม่เป็นไปตามที่ คสช.คาดหวัง ยังคงมี “เกียร์ว่าง-ทำงานเฉื่อยๆ” “เพลย์เซฟ-เอาตัวรอด ไม่กล้าตัดสินใจ” จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายอีกระลอก

การปรับเปลี่ยนนโยบายในครั้งนี้ก็คือ การนำระบบประเมินแบบ 360 องศา อย่างที่รัฐบาลโดยรองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม ได้ประกาศออกมาหลังปีใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะ “ลงแส้” ข้าราชการระดับบริหารที่ “งอมืองอเท้า” หรือ “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่” ไม่สนองต่อนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมีผลปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา จึงต้องดูว่า “ท ทหารอดทน” จะสู้กับ “ค คนขึงขัง” ได้หรือไม่ จึงนับเป็น “ไม้เด็ด” (แต่ยังไม่สุดท้าย) ของทหาร

ที่เขียนมานี่ไม่ได้ “เสี้ยมเขาให้ชนกัน” ที่จะให้ทหารทะเลาะกับข้าราชการพลเรือนทั้งหลาย แต่ในฐานะที่ผู้เขียนเรียนมาทั้งด้านรัฐประศาสนศาสตร์และรัฐศาสตร์ มีข้อแนะนำที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ปกครองประเทศซึ่งขณะนี้เป็นทหาร ดังนี้

ทหารน่าจะมองย้อนไปว่า ปัญหาเกียร์ว่างของข้าราชการในระยะเกือบสิบปีมานี้ ต้นเหตุเกิดจากอะไร และมีพัฒนาการเป็นไปอย่างไร นั่นก็คือการที่นักการเมืองทะเลาะกัน ข้าราชการเลือกที่จะอยู่ข้างฝ่ายชนะ แต่ด้วยการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ ทุกวันนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าทหารจะปราบอาชญากรการเมืองเหล่านั้นได้หรือไม่ ลิ่วล้อของอาชญากรเหล่านั้นก็ยังไชโยโห่ฮิ้ว ปลุกระดมประชาชนอยู่ทุกวัน ทหารจึงควร “จัดการ” กับอาชญากรและลิ่วล้อเหล่านั้นให้เด็ดขาด

ทหารคิดว่าการลงแส้ข้าราชการพลเรือนจะมีผลให้คนเหล่านั้นทำงานเข้มแข็งมากขึ้น แต่ข้าราชการเหล่านี้ไม่คิดอย่างนั้น เพราะพวกเขาคิดว่าทหารทำอย่างนี้เพื่อ “โชว์พาว” หรือกำลังความใหญ่โตของทหารมากกว่า แต่บางคนคิดลบไปกว่านั้นว่า “ก็แค่แม่อึ่งพองตัวให้ลูกอึ่งดู” หรือ “เขียนเสือให้วัวกลัว” พูดง่ายๆ คือ “เฟก” ซึ่งถ้าทหารเข้าใจกระบวนการบริหารสมัยใหม่จะเข้าใจว่า การบริหารแบบ “ป่าเถื่อน” ด้วยวิธีคิดแบบเก่านี้ ไม่สามารถบังคับ “โคนันทวิศาล” ได้

ที่ทหาร “พลาด” อย่างไม่น่าอภัยก็คือ การทำลายระบบการปกครองท้องถิ่น (แม้กระทั่งในร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยก็ไม่เน้นเรื่องนี้) แล้วให้ข้าราชการเข้าไปกำกับควบคุม ด้านหนึ่งอาจจะคิดว่านี่จะเป็นการทลาย “ซ่องโจร” ของการเมืองระดับท้องถิ่นได้ และอีกด้านหนึ่งอาจจะมองว่าข้าราชการพลเรือนโดยเฉพาะมหาดไทยนั้นจะพอใจ เพราะเอา “อำนาจ” คืนมาให้ แต่ความจริงนั้นมหาดไทยเขาไม่สบายใจมาก เพราะต้องไปทะเลาะกับ “เจ้าพ่อ” เหล่านั้น

ทั้งหมดนี้แสดงนัยอย่างหนึ่งที่ทำให้คนทั้งหลาย “ดูถูก” ทหารมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือทหารไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่ควร เพราะพอบังคับใครไม่ได้ก็จะออกกฎระเบียบใหม่ๆ มาควบคุม ซึ่งปัญหาไม่ได้เกิดจากการไม่มีกฎระเบียบ แต่เป็นปัญหาเพราะผู้รักษากฎไม่ทำตามกฎระเบียบนั้น

วิธีการที่ทหารจะทำให้คนเชื่อว่าทหารยังเข้มแข็งอยู่มีหลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายๆ น่าจะเป็นการ “ให้เกียรติ” แก่ผู้ร่วมงานมากขึ้น สร้างขวัญและกำลังใจ ร่วมกัน “รับผิด” ไม่ “รับแต่ชอบ” เพราะการบริหารราชการไทยนั้นยังไงก็ยังไม่พ้นระบบ “กรมการ” คือร่วมมือกันของทุกฝ่าย แต่เมื่อทหารจะมาทำตัวเป็นใหญ่ “ยกตนข่มท่าน” อยู่อย่างนี้ก็คงทำงานด้วยกันลำบาก

ปัญหาการบริหารราชการไทยในยุค คสช. ไม่ใช่ปัญหาว่า “ใครไม่ทำงาน” แต่เป็นเพราะต่างคนต่างทำงานส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือมีคนที่คอย “เสวยสุข” หรือเอาเปรียบเพื่อนมากเกินไป แต่ที่สำคัญก็คือ ขอให้พูดจากันดีๆอย่าข่มขู่คุกคาม หรือ “โยนอุจจาระ”ให้เพื่อน

สังคมไทยไม่ใช่ถ้ำ แต่เป็นป่าโปร่งที่น่าอยู่น่าอาศัย

ข่าวล่าสุด

4 หน่วยงานลุย "สะพานสมุย" พ่วงน้ำ-ไฟ-เน็ต แก้ปัญหาระยะยาว