กายวิภาคของความเป็นผี
ตอนนี้คงไม่มีอะไรเป็นที่สนใจของคนไทยมากไปกว่าเรื่องลูกผี ลูกเทพอีกแล้ว ผมสังเกตการณ์
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
ตอนนี้คงไม่มีอะไรเป็นที่สนใจของคนไทยมากไปกว่าเรื่องลูกผี ลูกเทพอีกแล้ว ผมสังเกตการณ์สถานการณ์ด้วยความจดจ่อ และเห็นประจักษ์ว่ากระแสที่ถาโถมเข้าใส่กลุ่มคนรักลูกเทพช่างน่าประหวั่นใจนัก ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่าคนเหล่านี้สติไม่สมประกอบบ้าง เล่นคุณไสยบ้าง ลูกเทพเป็นแค่ผีสางสัมภเวสี
สิ่งหนึ่งที่ผมพบเห็นภายใต้กระแสนี้คือ ความชิงชังไสยศาสตร์ แต่เป็นความชิงชังที่มืดบอด (ขึ้นชื่อว่าชิงชังแล้วย่อมไม่มีความสว่างในตัวมันเอง) ในทางการเมืองแล้วเป็นการโจมตีความเชื่ออันเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนไทยทุกคน ในทางสังคมก็ขาดขันติธรรม ในทางศาสนาก็ทำไปเพราะขาดพรหมวิหาร และผู้วิจารณ์ล้วนแต่ไม่เข้าใจเรื่องผีเอาซะเลย ท่านจะด่าทอผีหรือรักษาพุทธได้อย่างไร ในเมื่อท่านไม่รู้จักว่าผีคืออะไร และเป็นอย่างไร?
ในทางศาสนาแล้ว พุทธศาสนาในเมืองไทยคาบเกี่ยวกับศาสนาผี มีความพัวพันอลวน แต่สามารถแยกออกได้ด้วยหลักการเรื่องผีนี่แหละครับ อันที่จริงแล้ว ท่านที่กังวลว่าพุทธศาสนาจะแปดเปื้อนไสยศาสตร์ ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะศาสนานี้มีความยืดหยุ่นสูง แต่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงเช่นกัน เพราอะไรนั้นผมจะขอแจกแจงอย่างละเอียดตามหลักอภิธรรมและคัมภีร์ต่างๆ ของพุทธศาสนา เป็นอนุสนธิจากเรื่องเทพทันใจกับลูกเทพ รวมถึงเรื่องลี้ลับอื่นๆ ที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์
ที่จริงแล้วศาสนาพุทธเกี่ยวข้องกับ “ผี” อย่างมาก และคลุมเรื่องผีไว้ทั้งหมด มีระบุชัดในคัมภีร์เปตวัตถุ วิมานวัตถุ พระอภิธรรม อรรถกถา ฎีกา ฯลฯ เพียงแต่คนไทยเราไม่เข้าใจเรื่องผีในพุทธศาสนา เพราะฝังใจเรื่องผีตามสัญชาตญาณ หรือตามศาสนาดั้งเดิม (ทางวิชาการเรียกว่า ศาสนาผี) มากกว่า
อันนี้ผมจะว่าเรื่องผีตามมิติพุทธศาสนาก่อน เพราะคิดว่าคนไม่เข้าใจกันมาก
“ผี” ที่เราเข้าใจ ในทางศาสนาพุทธเรียกว่า “เปรต” ทั้งหมด เป็นหนึ่งในภพภูมิทั้ง 6 คือ เทพ มนุษย์ เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน สัตว์นรก
คำว่า “วิญญาณ” หมายถึงตัวรู้อารมณ์ที่มากระทบ ไม่ใช่ Soul แบบคริสต์ หรือ อาตมันแบบพราหมณ์ ที่ตายไปแล้วมีกายทิพย์ล่องลอยไปโน่นมานี้ ในพุทธศาสนาคนตายไปแล้ว วิบากกรรมนำวิถีจิตไปเกิดทันที บางคนกรรมดีก็นำไปสู่สุคติไม่กลับมาเยี่ยมญาติอีกเพราะสุขมันล้น บางคนกรรมไม่ดีนักก็กลายเป็นพวกอบายภูมิ หรือตายไม่มีสติ ตายพร้อมโทสะก็กลายเป็นพวกผีอดอยาก ผีดุ ผีเร่ร่อน อย่างที่เรียกว่า สัมภเวสี (ที่จริงคำว่า สัมภเวสี หมายถึงสัตว์ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดทั้งหมด 6 ภูมิ)
ดังนั้น ที่เราห็นเป็นผีที่มาหลอกๆ กันคือ เปรต เรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต คือเปรตที่คอยรับส่วนบุญ เพียงแต่เราไปติดภาพว่า เปรตต้องตัวสูงปากเท่ารูเข็ม ซึ่งนั่นแค่จำพวกเดียว แต่ภาพลักษณ์ติดตาคนมากกว่า ดังนั้นพระท่านจึงสอนว่า เวลาก่อนตายสำคัญมาต้องรวบรวมสติให้ดี ตายหลงตายโกรธ จะกลายเป็นภพภูมิชั้นต่ำ
เปรตมีรูปร่างเป็นคนธรรมดาก็ได้ เพียงแต่อาจเร่ร่อน อดอยาก บางตนรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวตามเวรกรรม บางตนมีฤทธิ์มากเรียกว่า “มหิทธิกาเปรต” พวกนี้มักเป็นอดีตหมอผีหมอทำคุณไสยใส่คนอื่น เปรตบางชนิดตอนกลางวันเสวยกรรมดีมีวิมานสุขสำราญ กลางคืนรับวิบากกรรมจากผลการทำชั่วก็มี ส่วนพวกที่เวรกรรมหนักกว่าเรียกว่า อสุรกาย รูปร่างน่าขยะแขยงน่ากลัว
เปรตกับอสุรกายทั้งหมด คนไทยเหมารวมเรียกว่า “ผี” พวกนี้ในทางพุทธศาสนาอยู่ในอบายภูมิ คือ ภพต่ำ
ส่วนเทพในทางพุทธศาสนา คือพวกที่อยู่ในสุคติภูมิ ทั้งรุกขเทวดา อาศัยตามต้นไม้ อากาศเทวดา มีวิมานลอยกลางอากาศ ฯลฯ พวกนี้ไม่ค่อยยุ่งกับคน เพราะตัวเองเสวยบุญพร้อมสรรพอยู่แล้ว เว้นแต่จะมาช่วยญาติของตัวเองที่เป็นมนุษย์ ซึ่งนานๆ ทีจะมีสักหน อย่างไรก็ตามเทพก็ให้โทษได้ เพราะยังมีโลภ โกรธ หลง เสพกามเหมือนสัตว์อื่นๆ
ผี (เปรต/อสุรกาย) กับเทพ ต่างกันตรงที่พวกนึ่งจมอยู่ในความทุกข์ อีกพวกเสวยสุขอย่างเดียว ผีบางตนมีฤทธิ์มากกว่าเทพด้วยซ้ำ เช่น มหิทธิกาเปรต แต่มีฤทธิ์ไม่ได้หมายความว่ามีความสุข และเสี่ยงที่จะตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ไม่มีของทิพย์ไว้เลี้ยงตัวเอง ต้องหาอาหารมาเติมเต็มความอยาก จึงทำร้ายมนุษย์ให้ป่วย ให้กลัว หรือเข้าทรง สิงตามตุ๊กตุ่นตุ๊กตาทำอภินิหาร เพื่อเรียกร้องเครื่องเซ่น
ภพภูมิอื่นก็กินอาหาร เพราะอาหารเป็นปัจจัยของสรรพชีวิตให้เกิดภพชาติต่อไปตามหลักอภิธรรม เพียงแต่ความอยากอาหารต่างๆ กันไปตามเวรกรรม หรืออดีตชาติภพ
พวกภูมิต่ำจิตใจจะมืดมน เพราะจิตดับพร้อมกับความหลง ดังนั้นมนุษย์ดีที่ภูมิสูงกว่าไปอ้อนวอนขอให้ผีที่มืดมนคอยช่วยเหลือ มันดูพิกลๆ อยู่ เพราะปกติแล้วผีมักขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ให้ช่วยส่งบุญไปให้ เพราะอดอยากลำบากเหลือเกิน ที่เรียกว่าผีหลอกนั้นส่วนใหญ่มักเป็นผีหรือเปรตมาขอส่วนบุญ แต่คนตกใจกลัวกันซะก่อน
คำว่า ผี คนไทยสมัยก่อนยังหมายถึงเทพด้วย เช่น ผีฟ้า ผีแถน รวมถึงสมมติเทพ เช่น ผีฟ้าเมืองยโสธรปุระ หมายถึงพระเจ้ากรุงกัมพูชายุคเมืองพระนคร เมื่อพิจารณาดีๆ จะพบว่าศาสนาผีของคนเผ่าไท-ลาว ครอบกับหลักไตรภูมิของศาสนาพุทธอย่างเหมาะเจาะ เพราะใน 84000 ขันธ์ก็เอ่ยถึงภพภูมิต่างๆ ไว้ด้วย
ขอย้ำว่า ศาสนาพุทธสอนเรื่องผี เปรต อสุรกาย ฯลฯ ไว้ครบ เพียงแต่ผีของศาสนาคนไท-ลาว ไม่ได้แบ่งแยกชัดเจนเท่าพุทธ
ดังนั้น ศาสนาพุทธในไทยจึงแยกจากศาสนาผีได้ยาก เพราะความเชื่อประสานเข้าด้วยกัน เพียงแต่เป้าหมายต่างกัน และพระสงฆ์ผู้รู้สามารถชี้จุดต่างได้ ส่วนใหญ่ท่านไม่ขัดความเชื่อนี้ เพราะถือเป็นเวรกรรมของแต่ละคน เว้นแต่พวกภูมิต่ำคิดทำร้าย หลอกหลวงผู้คน ท่านจะยื่นมือเข้ามาสั่งสอน เช่น เรื่องพระป่า เผาหรือรื้อศาลผีปู่ตา ในภาคอีสาน หรือในภาคเหนือ เพราะเห็นว่าผีพวกนี้หิวเครื่องเซ่น จนเริ่มทำร้ายคน
ศาสนาผีของชนเผ่า สอนให้เชื่อฟังผี เซ่นผี ผีมีอำนาจบันดาลให้เจ็บ ให้จน ให้รวย ให้รุ่งโรจน์ได้ ซึ่งศาสนาพุทธก็ไม่คัดค้าน เพียงแต่ผีที่บันดาลอำนาจได้ สักวันมันก็เสื่อมอำนาจได้ตามหลักอนิจจัง หลักกรรม และเวียนว่ายตายเกิด
ศาสนาพุทธสอนว่า ภพภูมิต่างๆ ล้วนไม่ต่างกัน เราต่างเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นภพภูมิ เพศพรรณต่างๆ มานักต่อนัก ดังนั้นป่วยการที่จะไหว้ผีไหว้เทพ เพราะเราเคยเป็นผีเป็นเทพมาทั้งสิ้น ทางพ้นทุกข์อยู่ที่การปฏิบัติธรรม ทำทาน ศีล ภาวนา ไม่ใช่เซ่นไหว้พวกภพภูมิช่วยให้รอด
อย่างไรก็ตาม มีกรรมฐานประเภทหนึ่งเรียกว่า เทวตานุสติ ท่านให้นึกถึงคุณที่ทำให้เป็นเทวดา คือการทำดีอยู่ในศีล 5 ช่วยให้เกิดในสุคติ ไม่ใช่การไหว้เทพเพราะขอให้เทพช่วย อันนี้เป็นศาสนาผี ศาสนาไสย ใครยังไหว้ผีไหว้เทพ ศาสนาพุทธไม่ห้าม (ห้ามเฉพาะพระภิกษุ เพราะถือเป็นติรัจฉานวิชา) แต่ขัดต่อการเข้ากระแสธรรม คือ อริยมรรค เช่น โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
ดังนั้น ใครยังไม่คิดจะเข้าโสดาฯ จะไหว้ผีก็ไม่ผิดอะไร เพียงแต่เสี่ยงกับทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด ก่อเวรก่อกรรมไม่สิ้นสุด อีกทั้งยังยากที่จะนับเป็นชาวพุทธที่หวังหลุดพ้น เพราะพุทธแท้ย่อมถือพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งอย่างเดียว และเชื่อแต่เรื่องกรรม
เรื่องผีนี้แม้จะขัดกับวิทยาศาตร์ แต่ให้เขาใจว่าเป็นความเชื่อทางศาสนา เรื่องภพภูมิ และการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นเรื่องปัจจัตตัง และบางท่านที่ว่าศาสนาพุทธไม่สอนเรื่องพรรค์นี้ ผมขอค้านว่าไม่จริงอย่างที่สุด และเพราะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ทำให้อธิบายหลักศาสนาผิดพลาดๆ มาก็มากแล้ว
ขอจบเรื่องผีไว้เท่านี้ก่อน ความจริงยังมีอีกมาก แต่ผมคิดว่าภายในสัปดาห์นี้เรื่องลูกเทพก็คงซาแล้ว และชาวไทยผู้เสพดราม่าเป็นอาจิณก็คงกลับไปใช้ชีวิตตามยถากรรมกันต่อไป ไม่จำเป็นต้องเถียงกันเรื่องผีสางเทวดากันอีกนาน


