posttoday

บ้านลูกเหรียง ที่พักใจของเหยื่อไฟใต้

31 มกราคม 2559

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัดสินใจรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ผู้หญิงอีก 7-8 คน เพื่อเป็นปากเสียงบอกผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัว

โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัดสินใจรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ผู้หญิงอีก 7-8 คน เพื่อเป็นปากเสียงบอกผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัว อย่าเพิ่งด่วนปิดประตูเส้นทางชีวิตอันยาวไกลของพวกเธอ ด้วยการให้เข้าพิธีแต่งงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ม.ต้น

ใครจะคิดว่า การรวมกลุ่มของ ชมพู่-วรรณกนก เปาะอีแตดาโอะ ในวันนั้นจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจอันยิ่งใหญ่ในวันนี้ นั่นคือการเป็นนายกสมาคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ หรือที่หลายคนคุ้นหูในนาม “กลุ่มลูกเหรียง”

“เราเป็นหัวโจกตั้งแต่ตอนรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ไปต่อรองกับผู้ใหญ่ ซึ่งพวกท่านก็รับฟังและก็ยืดเวลาให้พวกเราได้เรียนหนังสือไปจนจบ ม.ปลาย แต่ระหว่างนั้นกลุ่มของเราก็เริ่มระดมทุนจากภาครัฐ เพื่อจัดกิจกรรมให้ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับสิทธิเด็ก อนามัยเจริญพันธุ์ในชุมชน ด้วยความที่พี่ชายคนโตเป็นผู้ใหญ่บ้าน เวลาไปพูดอะไรคนก็เลยเชื่อถือ พวกเราเดินหน้าทำกิจกรรมเพื่อชุมชนนี้มาได้ 2 ปี สถานการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ช่วงปี 2547 ก็เริ่มรุนแรงขึ้น และเราก็เสียพี่ชายคนโตไปในเหตุการณ์นั้น”

ชมพู่ บอกว่า สถานการณ์ที่บ้านก็ไม่สู้ดี แต่เมื่อมีกลุ่มผู้หญิงจากกรุงเทพฯ ที่รวมตัวกันเพื่อลงมาช่วยเยียวยาจิตใจของชาวบ้าน ชมพู่ก็รับหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกและเป็นล่ามให้

“เราเข้าไปเยียวยาจิตใจของผู้หญิงที่ต้องสูญเสียสามีจากเหตุความไม่สงบ แต่ชมพู่สังเกตว่า นอกจากแม่จะเป็นผู้สูญเสียแล้ว ลูกๆ ที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าก็เป็นอีกกลุ่มที่ไม่อาจมองข้าม จากการที่ได้ไปพูดคุยกับเด็กๆ ทำให้รู้ว่าเด็กบางคนก็มีความแค้นสุมอก อยากจะแก้แค้น พอเราถามว่า รู้เหรอว่าใครทำ เขาบอกไม่รู้ แค่อยากจะโตเร็วๆ แล้วมีปืนไปจัดการคนที่ทำ ตอนนั้นเรารู้เลยว่า นอกจากแม่ๆ แล้ว เด็กๆ เป็นอีกกลุ่มที่ต้องการการเยียวยา เราเลยไประดมทุนจากคนรอบตัวได้เงินมาก็เอาจัดค่าย เพื่อฟื้นฟูจิตใจเด็กกลุ่มนี้ ใช้โมเดลเดียวกับที่ทำกับกลุ่มแม่ ถึงจะไม่ได้ผล 100% เพราะกระบวนการฟื้นฟูเด็กกับผู้ใหญ่ย่อมต่างกัน แต่เราก็ทำดีที่สุด ณ ตอนนั้น”

ค่ายเยียวยาจิตใจเด็กๆ ที่สูญเสียจากเหตุการณ์ครั้งนั้น จะเรียกว่าเป็นปฐมบทของกลุ่มลูกเหรียงก็ไม่ผิด

“เราเลือกชื่อลูกเหรียง เพราะเป็นพืชทางใต้ ที่กว่าจะโตขึ้นมาได้ ต้องแข็งแรงมากๆ และกว่าฝักจะเอามาเพาะเป็นเมล็ดได้ก็ต้องแก่พอ ธรรมชาติของลูกเหรียงที่ต้องอาศัยความแข็งแกร่งนี้คล้ายกับเด็กๆ กลุ่มที่เราอยากเยียวยาบาดแผลทางจิตใจของพวกเขา ซึ่งล้วนเติบโตมาในโจทย์ที่ยาก แต่ถ้ารอดมาได้ เขาก็พร้อมจะเป็นอีกมือที่จะช่วยเหลือสังคม”

กลุ่มลูกเหรียงถือกำเนิดมา 14 ปีแล้ว โดยชมพู่เป็นเสาหลัก เป็นคุณแม่ที่คอยยื่นมือโอบกอดทั้งร่างกายและหัวใจของเด็กๆ ที่ต้องเป็นเหยื่อของเหตุความไม่สงบคนแล้วคนเล่า จนทุกวันนี้ สมาชิกลูกเหรียงรุ่นแรกๆ เริ่มเติบใหญ่ เรียนจบมีงานที่ดีทำ ในฐานะคนที่ได้ชื่อว่าแม่อีกคนของเด็กๆ กลุ่มนี้ก็อดปลื้มใจไม่ได้ ชมพู่บอก เธอไม่บังคับว่าเด็กๆ จากกลุ่มลูกเหรียงต้องกลับมาทำงานให้สมาคม เพราะหากเจอโอกาสที่ดีกว่าก็อยากให้คว้าไว้

บ้านลูกเหรียง ที่พักใจของเหยื่อไฟใต้

 

 

“เราบอกเด็กๆ เสมอว่า มีคนนอกที่เขาอยากเข้ามาช่วยบ้านเรามากมาย แต่ช่วยแล้วเขาก็กลับไป เราเองในฐานะเป็นคนที่นี่ ถ้าเรายังไม่รักบ้านเรา จะคาดหวังให้ใครมารัก ถ้าเราเกิดที่นี่ เราต้องรักและหวงแหนบ้านเรา ถ้าบอกว่าบ้านเราไม่สงบ เราย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ถ้าอย่างนั้น เมื่อกรุงเทพฯ ไม่สงบแบบที่เคย เราก็ต้องย้ายบ้านอีกเหรอ เพราะฉะนั้น จะดีกว่ามั้ย ถ้าเรากลับมาช่วยกันทำให้บ้านของเราน่าอยู่ มีความสุขเหมือนเดิม”

ชมพู่ ยอมรับว่า ไม่ใช่เด็กในกลุ่มที่บ้านลูกเหรียงจะถูกขัดเกลาได้หมด เพราะบาดแผลในใจยังอยู่จนกว่าเขาจะจากโลกนี้ไป เพียงแต่ว่าใครจะเก็บซ่อนไว้ได้ มีเด็กบ้านลูกเหรียงบางคนที่หลงเดินทางผิด และสุดท้ายก็ต้องไปใช้ชีวิตในคุก ทุกวันนี้ ถามว่าทำไมชมพู่ยังยืนหยัดที่จะช่วยเหลือเด็กๆ ที่ถูกพรากโอกาสดีๆ ในชีวิตไปอย่างไม่ท้อถอย เธอตอบสั้นๆ เพียงว่า คงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้

“มีบ้างนะ เวลาเหนื่อย น้อยใจโชคชะตาว่าทำไมเรามาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ทำตามใจที่อยากจะเป็นอาจารย์ แต่สุดท้ายพอเห็นแววตาของเด็ก เราก็บอกตัวเองว่า เราคงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ในอนาคตเราคงต้องส่งไม้ต่อให้คนอื่น ซึ่งคนคนนั้นต้องรักกลุ่มลูกเหรียง และคิดว่ากลุ่มลูกเหรียงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเหมือนที่เรารู้สึก”

ชมพู่ กล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า คนทุกคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้ล้วนเป็นคนพิเศษ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกใช้ความพิเศษที่เรามีทำอะไร ในความพิเศษของทุกคนเรามีโอกาสที่จะแบ่งความพิเศษของเราให้คนอื่น ถ้าเราเป็นคนพิเศษอยู่คนเดียว โดยไม่แบ่งปันให้คนอื่น ก็เท่ากับว่าเราไม่ได้เป็นคนพิเศษ เพราะไม่มีใครรับรู้ความพิเศษนั้นของเรา สิ่งที่จะทำให้คนคนหนึ่งเป็นคนพิเศษได้ตลอด คือ ได้แบ่งปันให้คนอื่น

“อยากให้คนทุกคนได้แบ่งปันความพิเศษในตัวเองออกมาให้สังคมเยอะๆ มันจะยิ่งทำให้โลกของเราน่าอยู่มากขึ้น เราทุกคนมีโอกาสที่จะแบ่งปันอยู่แล้ว แค่เริ่มแบ่งปันจากเรื่องง่ายๆ ก่อน ค่อยไปถึงเรื่องใหญ่ๆ”

ข่าวล่าสุด

เลิกวนลูป! ส่อง 3 เป้าหมายยอดนิยมที่คนไทยตั้งไว้ทุกต้นปี เป็นจริงได้อย่างไร?