เปิดร่างรัฐธรรมนูญ59 "ระบบเลือกตั้งสส.-วุฒิสภาใหม่"
กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเผยเนื้อหา "ร่างรัฐธรรมนูญ 2559" ในส่วนระบบเลือกตั้ง สส. และวุฒิสภาใหม่
กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเผยเนื้อหา "ร่างรัฐธรรมนูญ 2559" ในส่วนระบบเลือกตั้ง สส. และวุฒิสภาใหม่
******************
หมายเหตุ : แผนภาพประกอบเอกสารร่างรัฐธรรมนูญ 2559 มีรายละเอียดมาก ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดเอกสารฉบับไฟล์ pdf เพื่อให้สามารถชมได้อย่างชัดเจน ได้ที่นี่
https://drive.google.com/file/d/0B6zndcjLBcUQSk50UVdNeVVwbVk/view?usp=sharing
******************
เมื่อวันที่ 28 ม.ค.นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และ ทีมกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้เผยแพร่รายละเอียดร่างรัฐธรรมนูญ2559 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการเลือกสมาชิกวุฒิสภาใหม่ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๙ ระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการเลือกสมาชิกวุฒิสภาใหม่
โดย....นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และทีมกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
ความมุ่งหวังของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญต้องการแก้ไขสภาพปัญหาการเมืองไทยที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น หามาตรการป้องกันมิให้บุคคลซึ่งเคยกระทำการทุจริตต่อหน้าที่หรือทุจริตในการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจทางการเมืองและกำหนดโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทยในอนาคต เช่น ทำอย่างไรที่จะให้คะแนนทุกคะแนนที่ประชาชนลงให้ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีความหมายไม่ถูกทิ้งเสียเปล่า และทำอย่างไรจะให้สมาชิกวุฒิสภาปลอดจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองอื่น และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาของตนเอง ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามความมุ่งหวังดังกล่าว จึงได้กำหนดหลักการใหม่ของระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการเลือกสมาชิกวุฒิสภาใหม่ (ปรากฏตามแผนภาพ ๑) โดยสรุปดังนี้
สภาผู้แทนราษฎร
๑. จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิกจำนวน ๕๐๐ คน ประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ๓๕๐ คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ๑๕๐ คน
โดยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ๓๕๐ คน เป็นจำนวนที่ให้ความสำคัญกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ต้องเป็นผู้แทนในเขตพื้นที่ของประชาชน และในขณะเดียวกันเพื่อให้คะแนนของประชาชนมีความหมายด้วยการใช้ระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม จึงกำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อจำนวน ๑๕๐ คน ซึ่งมีที่มาจากการจัดสรรคะแนนที่ประชาชนเลือกพรรคต่าง ๆ
ทั้งประเทศ ชดเชยให้แต่ละพรรคมีโอกาสได้ที่นั่งในสภาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสัดส่วนที่แปรผันโดยตรงกับคะแนนที่พรรคได้รับ รายละเอียดในข้อ ๒.๑ (วาระการดำรงตำแหน่ง ๔ ปี เช่นเดิม)
๒. ระบบการเลือกตั้งที่มุ่งเน้นการพยายามทำให้ “ทุกคะแนนที่ประชาชนลงเลือกตั้งจะไม่ถูกทิ้ง”
๒.๑ หลักคิดระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เหมาะสมกับประเทศไทย
เนื่องจากในอดีตคะแนนของประชาชนที่เลือกผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
แบบแบ่งเขตเลือกตั้งใด ๆ ซึ่งไม่ได้คะแนนเป็นลำดับที่ ๑ ของเขตเลือกตั้งนั้น ๆ (ไม่ชนะการเลือกตั้ง) คะแนนดังกล่าวแทบจะถูกทิ้งสูญเปล่า ดังนั้น หลักคิดระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เหมาะสมกับประเทศไทยจะต้องประกอบด้วย
๑) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง
๒) ระบบการเลือกตั้ง ไม่ควรซับซ้อน ประชาชนเข้าใจง่าย
๓) เพื่อเป็นการเคารพประชาชนที่ลงคะแนน จึงจะพยายามทำให้คะแนนเลือกตั้งที่ประชาชนลงให้ทุกคะแนนมีความหมาย ไม่ว่าจะลงคะแนนให้บุคคลใด คะแนนนั้นส่วนใหญ่ไม่ควรสูญเปล่า
๔) เป็นระบบการเลือกตั้งที่ส่งเสริมให้ประชาชนสนใจออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง
๕) เข้ากับบริบทหรือวิถีชีวิตของไทยโดยไม่ขัดกับหลักสากล
เพื่อเป็นการทำให้หลักคิดข้างต้นมีความเป็นไปได้ จึงกำหนดให้มีการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตโดยใช้ระบบคะแนนนำเสียงข้างมาก และนำระบบสัดส่วนมาใช้ด้วยการคำนวณแบ่งสัดส่วนให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ โดยใช้บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตใบเดียว และให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตได้เขตละ ๑ คน โดยให้นำคะแนนของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตของทุกคนมารวมเป็นคะแนนของพรรค และนำคะแนนของพรรคมารวมเป็นคะแนนของทุกพรรคทั้งประเทศ จากนั้นให้หาค่าเฉลี่ยคะแนนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคควรจะได้ต่อ ๑ คน คือ นำคะแนนของทุกพรรคที่ได้รับเลือกตั้งทั้งประเทศหารด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด (๕๐๐ คน) จากนั้น
ให้นำค่าเฉลี่ยที่ได้ไปหารจำนวนคะแนนที่แต่ละพรรคได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งจำนวนที่แต่ละพรรคจะพึงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้
ทั้งนี้ ต้องให้เอกสิทธิแก่ผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตทุกคนต้องได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยหากพรรคใดได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเป็นจำนวนเท่าใด ให้นำจำนวนดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคจะพึงมี หากได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ครบตามจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคจะพึงมีเท่าใด ให้จัดสรรเพิ่มจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อให้เท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคจะพึงมี และหากเกิดกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตมีจำนวนเกินจำนวนทั้งหมดที่แต่ละพรรคพึงจะมีได้ ให้พรรคนั้นได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่ากับจำนวนที่ได้จริงซึ่งรวมถึงจำนวนที่เกินมาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละพรรคจะพึงมีด้วย (ปรากฏตามแผนภาพ ๒ และ ๓ ) ซึ่งจะมีความเป็นธรรมแก่ทุกพรรคที่จะได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามสัดส่วนของคะแนนที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงให้ จึงมีผู้เรียกระบบการเลือกตั้งนี้ว่า “แบบจัดสรรปันส่วนผสม”
ระบบการเลือกตั้งซึ่งใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวนี้ จะทำให้ประชาชนเกิดความสนใจที่จะมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากขึ้น เนื่องจากประชาชนสามารถใช้สิทธิได้ง่าย ไม่มีความซับซ้อน และจะรู้สึกว่าคะแนนทุกคะแนนมีความหมาย (คะแนนของตนจะไม่เสียเปล่า) โดยผลการเลือกตั้งจะเป็นการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต และจะมีผลต่อจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อด้วย ซึ่งกรณีนี้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละพรรคการเมืองจะได้นั้น จะขึ้นอยู่กับการจัดทำบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองว่าจะสามารถจูงใจให้ประชาชนเลือกพรรคการเมืองของตนได้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องพิจารณาคุณสมบัติหรือจุดเด่นของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและ
พรรคการเมืองไปพร้อมกัน พรรคการเมืองจึงต้องสรรหาผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในแต่ละเขตให้ตรงกับความต้องการของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
นอกจากนี้หากมีการประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว ต่อมาพบว่ามีการทุจริตการเลือกตั้ง จึงต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งการเลือกตั้งใหม่จะมีผลกระทบต่อจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อด้วย ระบบนี้จึงเป็นการทำให้พรรคการเมืองตระหนัก ให้ความสำคัญและระมัดระวังในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตให้ได้บุคคลที่ดีที่สุด และจะต้องไม่ทุจริตการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ การบริหารจัดการในการใช้บัตรเลือกตั้ง ๑ ใบ จะมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการใช้บัตรเลือกตั้ง ๒ ใบเช่นในอดีต และทำให้บัตรเสียน้อยลง ตลอดจนประหยัดงบประมาณในการเลือกตั้ง
๒.๒ ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจะต้องได้คะแนนเสียงมากกว่าคะแนนเสียงของประชาชนที่ไม่ประสงค์เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และในกรณีที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งไม่มากกว่าคะแนนเสียงที่ไม่ประสงค์เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งใหม่อีกมิได้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งที่คูหาเลือกตั้งได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งหลักการดังกล่าวเป็นกลไกในการควบคุมพรรคการเมืองให้มีความรับผิดชอบในการพิจารณาส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งในเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมโดยกำหนดให้ประชาชนเป็นตัวชี้วัด
๒.๓ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต้องเป็นผู้ที่พรรคการเมืองส่งสมัครรับเลือกตั้ง และจะสมัครรับเลือกตั้งเกินหนึ่งเขตมิได้ และเมื่อมีการสมัครรับเลือกตั้งแล้ว ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองจะถอนการสมัครรับเลือกตั้งหรือเปลี่ยนแปลงผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ เฉพาะกรณีผู้สมัครตายหรือขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม และเป็นกรณีที่เปลี่ยนแปลงก่อนวันปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งนี้ พรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว ให้มีสิทธิส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ และผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
๒.๔ การจัดบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ กำหนดให้เป็นบัญชีรายชื่อบัญชีเดียวทั้งประเทศ เนื่องจากในระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมเป็นระบบที่ต้องใช้การคำนวณคะแนนทั้งประเทศ และจะต้องทำให้สัดส่วนของผู้สมัครรับเลือกตั้งในบัญชีรายชื่อไม่กระจุกตัวเฉพาะภายในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใหญ่เท่านั้น โดยต้องมีการกำหนดเงื่อนไขให้แต่ละบัญชีรายชื่อมีการจัดสรรให้บุคคลในรายชื่อของบัญชีนั้นมาจากทุกภูมิภาคในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้มีการกระจายตัวผู้แทนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ
๓. การกลั่นกรองผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน
บทบัญญัติว่าด้วยคุณสมบัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในร่างรัฐธรรมนูญนี้ ได้คงหลักการตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และได้มีการกำหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมโดยเปิดโอกาสกว้างให้บุคคลที่เคยปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าห้าปี สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้ (ปรากฏตามแผนภาพ ๕)
ทั้งนี้ ในบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติให้มีความเข้มและรัดกุมมากขึ้นกว่าที่เคยบัญญัติ เนื่องจากมีเจตนารมณ์ให้บุคคลที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจแทนประชาชน ต้องได้รับการกลั่นกรองคุณสมบัติเบื้องต้นพอสมควร โดยบุคคลที่จะมารับตำแหน่งต้องมีความพร้อมในหลายด้านทั้งความประพฤติ ประวัติต่าง ๆ เป็นอย่างดี เพื่อให้ได้รับความเชื่อถือและศรัทธาจากประชาชน ทำให้สาธารณชนยอมรับให้เป็นผู้แทนของประชาชนได้ (ปรากฏตามแผนภาพ ๖)
การบัญญัติความให้เข้มงวดในกรณีที่บุคคลใดมีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ จะถือว่าถูกตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งโดยไม่สามารถกลับเข้ามาสู่ระบบการเมืองได้ อาทิ
-บุคคลที่ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามคำพิพากษา หรือตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
-บุคคลผู้เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ซึ่งระยะเวลาสิบปีดังกล่าวจะทำให้นักการเมืองตระหนักถึงความประพฤติส่วนตัวและมาตรฐานทางจริยธรรมที่จะเป็นเหตุให้ไม่สามารถสมัครรับเลือกตั้งได้
-บุคคลที่เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ หรือบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตหรือประพฤติมิชอบ เพื่อไม่ให้สามารถกลับเข้ามาสู่ระบบการเมืองได้อีก แม้ว่าจะมีการบัญญัติกฎหมายล้างมลทินในภายหลังก็ตาม ทั้งนี้ หากบุคคลถูกสั่งให้พ้นจากราชการเพราะทุจริตหรือประพฤติมิชอบ จะไม่ได้พิจารณาว่าบุคคลนั้นจะได้รับโทษทางวินัยหรือโทษตามคำพิพากษาของศาลหรือไม่ จะถือว่าห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยไม่มีการยกเว้น
-บุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง
๔. เหตุที่ความเป็นสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสิ้นสุดลง
บทบัญญัติว่าด้วยความเป็นสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง ในร่างรัฐธรรมนูญนี้ได้คงหลักการตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติให้มีความเข้มและรัดกุมมากขึ้นกว่าที่เคยบัญญัติ โดยบัญญัติความเข้มงวด ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบุคคลใดที่เข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้ ความเป็นสมาชิกภาพจะสิ้นสุดลง (ปรากฏตามแผนภาพ ๕) อาทิ
-การมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญนี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติให้มีความเข้มและรัดกุมมากขึ้นกว่าที่เคยบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ตามที่ได้ยกตัวอย่างแล้วในข้อ ๓.
-การขาดจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง ที่นอกจากในกรณีที่ขาดจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเพราะมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นเป็นสมาชิกที่เคยบัญญัติไว้จากเดิม ซึ่งการขาดจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองดังกล่าว อาจเป็นเหตุมาจากการไม่กระทำการตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของพรรคการเมือง จึงต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง
-การเสนอการแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของสภาผู้แทนราษฎรที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้ ซึ่งหากมีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้วินิจฉัยและหากวินิจฉัยว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัตินี้ ให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้ตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น
-มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจใช้หน้าที่และอำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาว่าผู้นั้นมีพฤติการณ์หรือกระทำความผิด หรือร่ำรวยผิดปกติตามที่ถูกกล่าวหา แล้วแต่กรณี (ผู้กระทำความผิดในกรณีนี้จะต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง โดยจะไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และจะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกินสิบปีด้วยหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้ ในกรณีมีความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติหรือทุจริตต่อหน้าที่ ให้ริบทรัพย์สินที่ผู้นั้นได้มาจากการกระทำความผิด รวมทั้งบรรดาทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้มาแทนทรัพย์สินนั้น ตกเป็นของแผ่นดิน)
-จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าเพื่อไม่ประสงค์แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น
๕. การกำหนดคุณสมบัติอายุของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
เปลี่ยนหลักการเดิมเกี่ยวกับกำหนดคุณสมบัติอายุของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ในวันที่ ๑ มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง เป็น “กำหนดคุณสมบัติอายุของผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง” เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของบุคคล ซึ่งจะทำให้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ ๗๐,๐๐๐ คน
๖. สภาผู้แทนราษฎรต้องพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองนั้นมีมติว่าจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในจำนวนไม่เกิน ๓ รายชื่อ โดยต้องแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งภายในวันสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งการเสนอชื่อต้องมีหนังสือยินยอมจากบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อ และบุคคลดังกล่าวต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นรัฐมนตรี และต้องไม่เป็นรายชื่อที่ซ้ำกับการเสนอรายชื่อของพรรคการเมืองอื่น อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองจะไม่เสนอรายชื่อบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้
วุฒิสภา
๑. จำนวนสมาชิกวุฒิสภา
วุฒิสภามีสมาชิกจำนวน ๒๐๐ คน มาจากการเลือกกันเองของบุคคลซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะ หรือประโยชน์ร่วมกัน หรือทำงานหรือเคยทำงานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลายของสังคม ซึ่งการได้มาของสมาชิกวุฒิสภาต้องมีสัดส่วนจากภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามาได้อย่างหลากหลาย เพื่อให้บุคคลจากหลายภาคส่วนดังกล่าวได้สะท้อนแนวคิดและพิจารณาในทุกบริบทอย่างรอบด้านทั้งการกลั่นกรองกฎหมาย การประนอมทางความคิดความต้องการเพื่อสร้างความเห็นชอบร่วมกัน (ปรับแนวคิดมิให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งเพื่อป้องกันไม่ให้สมาชิกวุฒิสภาตกอยู่ภายใต้อาณัตินักการเมือง หรือมิให้มาจากการสรรหาเพื่อมิให้ถูกมองว่าอาจสรรหาโดยไม่เป็นธรรม) ทั้งนี้ กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามีวาระการดำรงตำแหน่ง ๕ ปี และจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระไม่ได้ เพื่อให้มีสภาที่สามารถดำเนินงานด้านนิติบัญญัติได้ในช่วงที่ระยะเวลาของสภาผู้แทนราษฎรราษฎรสิ้นสุดลง และ ในขณะเดียวกันเพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีแนวคิดใหม่ ๆ ได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศที่มีระยะเวลา ๕ ปี
๒. การดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม
ในร่างรัฐธรรมนูญจะได้บัญญัติในหลักการว่า สมาชิกวุฒิสภาซึ่งมาจากการเลือกกันเองของบุคคลซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะ หรือประโยชน์ร่วมกัน หรือทำงานหรือเคยทำงานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลายของสังคม ส่วนรายละเอียดการแบ่งกลุ่ม หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกกันเอง การได้รับเลือก จำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่จะพึงมีจากแต่ละกลุ่ม การขึ้นบัญชีสำรอง การเลื่อนบุคคลจากบัญชีสำรองขึ้นดำรงตำแหน่งแทน มาตรการที่จำเป็นเพื่อให้การเลือกกันเองเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และการอื่น ที่จำเป็นให้เป็นไปตามกฎหมายลำดับรอง และเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการให้การเลือกเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จะกำหนดมิให้ผู้สมัครแต่ละกลุ่มเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน หรือจะกำหนดให้มีการคัดกรอง
ผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วยวิธีการอื่นใดที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งมีส่วนร่วมในการคัดกรองก็ได้ (ปรากฏตามแผนภาพ ๔ )
๓. การแบ่งกลุ่มบุคคลจากทุกภาคส่วนในสังคม
แนวคิดที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มบุคคลออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลที่จะมาสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาสามารถมาได้อย่างกว้างขวางโดยมิใช่มาจากองค์กรเท่านั้น ซึ่งหลักการที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มบุคคลนอกจากจะแบ่งตามกลุ่มโดยพิจารณาจากจำนวนประชากรในแต่ละกลุ่ม และการแบ่งกลุ่มบุคคลจากภาคส่วนต่าง ๆ แล้ว ต้องใช้หลักการการแบ่งกลุ่มโดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาเป็นองค์ประกอบด้วย เพื่อให้ได้กลุ่มคนที่มีแนวคิดที่สามารถสะท้อนแนวคิดของกลุ่มคนดังกล่าวเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่ออำนาจหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา นอกจากนี้ สมาชิกวุฒิสภาควรมาจากตัวแทนของทุกกลุ่มซึ่งต้องมีการกระจายกลุ่มให้ทั่วถึงมากที่สุด เพื่อเปิดโอกาสกว้างให้บุคคลมีสิทธิสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ ในการแบ่งกลุ่มไม่ควรคำนึงถึงตัวแทนที่จะต้องมีสัดส่วนของผู้สมัครครบทุกกลุ่ม เนื่องจากที่มาของสมาชิกวุฒิสภาไม่ได้มีการนำระบบสัดส่วนมาใช้ แต่เป็นการกระจายให้มีผู้สมัครที่มีความหลากหลาย จึงควรมีการแยกกลุ่มให้ชัดเจน และมีเงื่อนไขหลักว่า ผู้สมัครสามารถลงสมัครได้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญนี้ได้มีการแบ่งกลุ่มบุคคลซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะ หรือประโยชน์ร่วมกัน หรือทำงานหรือเคยทำงานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลายของสังคม เป็นจำนวน ๒๐ ด้าน (ปรากฏตามแผนภาพ ๔ ) โดยรายละเอียดเกี่ยวกับการแบ่งกลุ่มจะได้นำไปบัญญัติไว้ในกฎหมายลำดับรอง และจำนวนกลุ่มด้านต่าง ๆ อาจมีการแก้ไขเพิ่มในแต่ละกลุ่มได้
๔. การกลั่นกรองผู้ที่จะสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม
บทบัญญัติว่าด้วยคุณสมบัติของสมาชิกวุฒิสภาในร่างรัฐธรรมนูญนี้ได้คงหลักการตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และเนื่องจากที่มาของสมาชิกวุฒิสภาได้มีการปรับเปลี่ยนตามข้างต้น จึงได้เพิ่มคุณสมบัติให้สมาชิกวุฒิสภาซึ่งมาจากการเลือกกันเองของบุคคลซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ หรือทำงานในด้านที่สมัครไม่น้อยกว่าสิบปี หรือเป็นผู้มีลักษณะตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะได้นำไปบัญญัติไว้ในกฎหมายลำดับรอง และผู้ที่จะสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่จำเป็นต้องสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีเช่นในอดีต เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลมีสิทธิสมัครเข้ารับการเลือกได้อย่างกว้างขวางภายใต้การมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญนี้ ทั้งนี้ ผู้ที่จะสมัครรับเลือกดังกล่าวต้องเกิด มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ทำงาน หรือมีความเกี่ยวพันธ์กับพื้นที่ที่สมัครตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลำดับรอง (ปรากฏตามแผนภาพ ๕)
ในบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะต้องห้ามของสมาชิกวุฒิสภาตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติให้มีความเข้มและรัดกุมมากขึ้นกว่าที่เคยบัญญัติ เนื่องจากมีเจตนารมณ์ให้บุคคลที่จะเป็นสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจแทนประชาชน ต้องได้รับการกลั่นกรองคุณสมบัติเบื้องต้นพอสมควร โดยบุคคลที่จะมารับตำแหน่งต้องมีความพร้อมในหลายด้านทั้งความประพฤติ ประวัติต่าง ๆ เป็นอย่างดี เพื่อให้ได้รับความเชื่อถือและศรัทธาจากประชาชน ทำให้สาธารณชนยอมรับให้เป็นผู้แทนของประชาชนได้ ดังนั้น จึงได้นำบทบัญญัติลักษณะต้องห้ามที่มีความเข้มงวดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาบังคับใช้กับสมาชิกวุฒิสภา และได้มีการเพิ่มระยะเวลาการเป็นหรือเคยเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ที่ต้องห้ามจากห้าปีเป็นสิบปี เพื่อมิให้มีส่วนได้เสียจากตำแหน่งในอดีตและปลอดจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองพอสมควร (ปรากฏตามแผนภาพ ๖) อาทิ
- เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
- เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นสมาชิกหรือการดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
- เป็นหรือเคยเป็นรัฐมนตรี เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นรัฐมนตรีมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
- เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
๕. เหตุที่ความเป็นสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาต้องสิ้นสุดลง
บทบัญญัติว่าด้วยความเป็นสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง ในร่างรัฐธรรมนูญนี้ได้คงหลักการตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติให้มีความเข้มและรัดกุมมากขึ้นกว่าที่เคยบัญญัติ โดยบัญญัติความเข้มงวดให้สมาชิกวุฒิสภาบุคคลใดที่เข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้ ความเป็นสมาชิกภาพจะสิ้นสุดลง (ปรากฏตามแผนภาพ ๕) อาทิ
-การมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญนี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติให้มีความเข้มและรัดกุมมากขึ้นกว่าที่เคยบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ตามที่ได้ยกตัวอย่างแล้วในข้อ ๔.
-การเสนอการแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของวุฒิสภา ที่มีผลให้ สมาชิกวุฒิสภา มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้ ซึ่งหากมีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้วินิจฉัยและหากวินิจฉัยว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัตินี้ ให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้ตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น
-มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจใช้หน้าที่และอำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาว่าผู้นั้นมีพฤติการณ์หรือกระทำความผิด หรือร่ำรวยผิดปกติตามที่ถูกกล่าวหา แล้วแต่กรณี (ผู้กระทำความผิดในกรณีนี้จะต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง โดยจะไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และจะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกินสิบปีด้วยหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้ ในกรณีมีความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติหรือทุจริตต่อหน้าที่ ให้ริบทรัพย์สินที่ผู้นั้นได้มาจากการกระทำความผิด รวมทั้งบรรดาทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้มาแทนทรัพย์สินนั้น ตกเป็นของแผ่นดิน)
-จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าเพื่อไม่ประสงค์แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น
-กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนที่ต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด ๆ
๖. มาตรการป้องกันการสมยอมกันในระหว่างผู้สมัคร
๑) ให้นำบทบัญญัติและบทกำหนดโทษสำหรับลักษณะความผิดฐานการทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม มาใช้กับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย (จูงใจให้ลงคะแนน หรือไม่ลงคะแนนด้วยวิธีต่าง ๆ / การจัดเลี้ยง/ มหรสพ/ หลอกลวง ข่มขู่ ฯลฯ)
๒) การจำกัดห้ามการหาเสียงโดยผู้สมัคร และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้จัดให้มีการแสดงวิสัยทัศน์แทน
๓) กำหนดข้อห้ามพรรคการเมือง กรรมการ และสมาชิกพรรคการเมือง มิให้เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการส่งสมัคร การดำเนินการลงคะแนนในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทางอ้อม
๔) กำหนดให้มีการเลือกข้ามกลุ่มตั้งแต่ระดับอำเภอเป็นต้นไป เนื่องจากทำให้การสมคบคิดกันระหว่างผู้สมัครสามารถทำได้ยาก
๕) กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนในกฎหมายลำดับพระราชบัญญัติ เมื่อมีการสมยอมระหว่างผู้สมัคร ทั้งนี้ ต้องพิจารณาเมื่อเกิดกรณีดังกล่าวอย่างรอบคอบว่ามีความจงใจทุจริตหรือไม่ ซึ่งหากเป็นการแนะนำตัวไม่ถือว่าเป็นการกระทำความผิด แต่หากเป็นกระทำเพื่อหวังผลประโยชน์ตอบแทนให้ถือว่ากระทำดังกล่าวมีความผิด
๖) ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดเตรียมข้อมูลข่าวสารเบื้องต้นเกี่ยวกับเครือข่ายของฝ่ายการเมืองและฝ่ายผู้สมัครรับเลือกตั้งทางอ้อม และประสานงานกับหน่วยงานที่ทำหน้าที่ป้องปรามหรือปราบปรามการกระทำความผิดในการกำหนดแผนควบคุมให้การเลือกตั้งทางอ้อมเป็นไปโดยสุจริต
๗) ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจในกระบวนการพิจารณาสืบสวนสอบสวนการกระทำความผิดฐานสมยอมกันระหว่างผู้สมัครเมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น โดยให้มีอำนาจในการกันบุคคลไว้เป็นพยานในคดีดังกล่าว
๗. การแนะนำตัวผู้สมัคร
การแนะนำตัวผู้สมัครมีหลักการที่สำคัญที่คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินการ ดังนี้
๑) จัดเตรียมข้อมูลของผู้สมัครโดยจัดทำป้ายและเอกสารแนะนำตัวผู้สมัครอย่างละเอียด เช่น ความรู้ ผลงาน และประสบการณ์ในการทำงาน เพื่อให้ผู้สมัครในแต่ละกลุ่มศึกษาข้อมูลของผู้สมัครในแต่ละกลุ่มอย่างครบถ้วน
๒) จัดทำและนำเสนอข้อมูลของผู้สมัครแต่ละคนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้สมัครสามารถตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดของตนเองและผู้สมัครคนอื่น ๆ ได้ สำหรับหลักเกณฑ์ในการเพิ่มข้อมูล วิธีการ ข้อห้ามในการควบคุมเพื่อให้การจัดทำและนำเสนอข้อมูลของผู้สมัครเป็นไปโดยสุจริตจะได้มีการพิจารณาต่อไป
๓) จัดทำประกาศแนะนำตัวผู้สมัครให้ทราบโดยทั่วกัน เกี่ยวกับการกำหนดวันเลือกสมาชิกวุฒิสภาบัญชีรายชื่อผู้สมัคร โดยใช้งบประมาณของคณะกรรมการการเลือกตั้งทั้งหมด ทั้งนี้ให้เป็นไปโดยประหยัด


