พระพุทธรูปสลักหินที่อู่ทอง หนึ่งเดียวในไทยและอาเซียน
สิ่งอัศจรรย์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เกิดขึ้นในประเทศไทย ในพุทธศตวรรษที่ 26 เมื่อพระเทพสุวรรณโมลี
โดย...ส.สต
หนึ่งเดียวในไทย ยิ่งใหญ่ในโลก
สิ่งอัศจรรย์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เกิดขึ้นในประเทศไทย ในพุทธศตวรรษที่ 26 เมื่อพระเทพสุวรรณโมลี (หลวงพ่อสอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.8) เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร พระอารามหลวง ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนทั่วไป สร้างพระพุทธรูปสลักจากศิลา (Rock Carving Buddha) ที่หน้าผาเขาทำเทียม อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ขนาดใหญ่ในอาเซียน ภายใต้แนวคิด หนึ่งเดียวในไทย ยิ่งใหญ่ในโลก มรดกคู่ฟ้าดิน
ขณะนี้การแกะสลักเดินหน้าไปประมาณ 60-70% แต่ก็ประทับใจประชาชนที่เดินทางไปยังสถานที่นั้นในช่วงต้นปี 2559 อย่างมาก เพราะสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาที่หลวงพ่อสอิ้ง ในวัย 82 ปี ได้ทุ่มเททำงานนั้นยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าไม่มีความตั้งใจแน่วแน่และเชื่อมั่น ย่อมทำไม่ได้ เนื่องจากงานแกะสลักพระพุทธรูปจากศิลาที่หน้าผาภูเขานั้น ไม่ใช่งานเล็กๆ ที่เอกชนคนสามัญจะทำได้ แต่ท่านทำแล้ว แสดงถึงวิสัยทัศน์และมีบารมีอย่างมาก
ปัจจุบันงานแกะสลักส่วนพระเศียรสำเร็จลุล่วงไปแล้ว รวมทั้งพระเกตุมาลาเท่าของจริงก็สร้างเสร็จ นำมาตั้งให้ประชาชนชาวพุทธได้ปิดทอง ที่สำนักงานโครงการบริเวณหน้าผา เพราะหากสร้างเสร็จ อัญเชิญพระเกตุมาลาประดิษฐานแล้ว จะไม่มีโอกาสปิดทองอีก เพราะอยู่ในที่สูง
พระพุทธรูปแกะสลักองค์เดียวของไทย และของอาเซียนมีขนาดความสูง 32 เมตร หน้าตักกว้าง 24.90 เมตร ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก
พระเทพสุวรรณโมลี กล่าวว่า การที่ดำริสร้างพระพุทธรูปที่หน้าผา เกิดจากแนวคิดว่าพระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนที่เรียกรวมกันว่า สุวรรณภูมิ และยังไม่มีชื่อประเทศไทยในแผนที่แห่งนี้ แต่พระพุทธศาสนาได้เป็นศาสนาที่คนในดินแดนแถบนี้ยึดเป็นหลักชัยในชีวิต แล้วเวลาผ่านมานับพันปี ยังไม่เคยมีการสร้างพระพุทธรูปที่มีความคงทนนับพันปี เช่น การแกะสลักจากหน้าผา หรือภูเขา เพื่อบ่งบอกว่า ที่นี่เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาในยุคแรกๆ จวบจนกระทั่งไม่กี่ปีที่ผ่านมา ท่านมาเห็นหน้าผาเขาทำเทียม ที่ผู้ได้รับสัมปทานระเบิดหินเพื่อการพาณิชย์ เลิกกิจการเมื่ออายุสัมปทานหมดลง ทิ้งหน้าผาว่างเปล่าไร้ประโยชน์ ท่านจึงมีแนวคิดสลักพระพุทธรูปที่หน้าผาแห่งนี้ เพราะน่าจะทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากหน้าผาเรียบเหมือนพระอินทร์มาเนรมิตไว้
เมื่อศึกษา ได้ข้อมูลเพียบพร้อม ส่วนราชการอนุญาต ในวันที่ 1 มี.ค. 2557 จึงได้บวงสรวง บอกเจ้าที่เจ้าทาง ทำการสลักพระพุทธรูปจากหินปางโปรดพระพุทธมารดา
ผ่านไป 1 ปี 10 เดือน (11 ม.ค. 2559) งานลุล่วงไปประมาณ 60-70% ใช้เงินที่มีผู้ศรัทธาทุกภาคส่วนบริจาคไปแล้ว 50 ล้านบาท คาดว่ากว่าจะเสร็จสิ้นโครงการ คงต้องใช้เงินอีกไม่น้อยกว่า 40-50 ล้านบาท แต่เงินจำนวนนั้นยังขาดอยู่ ซึ่งก็หวังว่าจะได้จากผู้ศรัทธาทั้งหลายทั่วประเทศ โดยทางวัดเปิดรับบริจาคจากผู้ศรัทธาทั่วไป โดยการเชิญเป็นเจ้าภาพผ้าป่าล้านกอง กองละ 1,000 บาท หรือเลือกสมทบบุญ จ่ายเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขา ปตท. วัดป่า ชื่อบัญชี กองทุนพระเจ้าอู่ทอง บัญชีเลขที่ 980-3-53649-4
หรือ ธนาคารออมสิน สาขาสุพรรณบุรี ชื่อบัญชีกองทุนพระเจ้าอู่ทอง บัญชีเลขที่ 020-029-798-862 ก็ได้
แฟกซ์หลักฐานการโอนเงิน พร้อมชื่อ และที่อยู่ ไปที่โทร.035-545-228 เพื่อทางวัดจะมอบอนุโมทนาบัตรต่อไป
เตรียมฉลองส่งท้ายปี’59 รับปี’60
พระเทพสุวรรณโมลี มั่นใจว่า จะดำเนินการแล้วเสร็จตามโครงการ จึงประกาศว่า เดือน ก.ย. 2559 การสลักองค์พระจะแล้วเสร็จ จึงเตรียมฉลองข้ามปี ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เริ่มวันที่ 27 ธ.ค. 2559-5 ม.ค. 2560 เป็นเวลา 10 วัน
พระเทพสุวรรณโมลี จึงเชิญชวนพุทธศาสนิกชนและผู้ศรัทธาให้ร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อสร้างพระพุทธรูปสลักจากหน้าผาแห่งนี้ รวมถึงการเจาะถ้ำลึก 20 เมตร ตามหน้าผาที่มีความยาว 600 เมตร ในบริเวณเดียวกัน เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปหินสลักปางประสูติ ปางตรัสรู้ ปางปฐมเทศนา และปางปรินิพพาน รวมทั้งเป็นที่บันทึกประวัติอริยเศรษฐีที่ร่วมบริจาคทรัพย์ ตั้งแต่ 1-100 ล้านบาท ในการสร้างมรดกไทย มรดกโลกแห่งนี้ด้วย
สลักพระเกิด 1,000 ปีมาแล้ว
ประวัติการสลักพระพุทธรูปขนาดใหญ่บนหน้าผา เกิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 10-11 เมื่อ 1,500 ปีมาแล้ว เช่น พระพุทธรูปที่หน้าผาเขา ประเทศอัฟกานิสถาน และพระพุทธรูปเล่อซาน บนหน้าผาเขาเล่อซาน ประเทศจีน จากนั้นมาไม่ปรากฏว่ามีการแกะสลักพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่ไหนอีกเลย
พระพุทธรูปบามิยัน เป็นกลุ่มพระพุทธรูปหลายองค์ โดยเฉพาะองค์ใหญ่ 3 องค์ ที่หน้าผาและถ้ำของหุบเขาบามิยัน ห่างจากกรุงคาบูลเมืองหลวงไปประมาณ 230 กิโลเมตร บนความสูง 2,500 เมตร สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 10 (คริสต์ศตวรรษที่ 6) ที่มีอิทธิพลจากกรีกโบราณ มีอายุยืนพันกว่าปี ก่อนที่กลุ่มตาลีบันที่ปกครองอัฟกานิสถานจะใช้ปืนใหญ่ยิงทำลาย เมื่อ พ.ศ. 2544
ส่วนพระพุทธรูปแกะสลักเขาเล่อซาน ประเทศจีน สร้างในสมัยจักรพรรดิเสวียนจง แห่งราชวงศ์ถัง พ.ศ. 1256 (ค.ศ. 713) เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท หลังพิงภูเขา หันหน้าสู่แม่น้ำหมินเจียง สูง 71 เมตร ไหล่กว้าง 28 เมตร ฐานล่างกว้าง 10 เมตร และยังคงเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาถึงปัจจุบัน
ดังนั้น พระพุทธรูปสลักหิน ปางโปรดพระพุทธมารดา (หรือปางกตัญญูกตเวที) ที่เขาทำเทียม อ.อู่ทอง ที่ขนานนามว่า พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ (หลวงพ่ออู่ทอง) ตามหลักฐานศิลาจารึกที่พบในพระเจดีย์ บริเวณเขาทำเทียมแห่งนี้ ที่มีอักษรอินเดียโบราณเขียนไว้ ปุษยคีรี นั้น จะคงทนถาวรเช่นเดียวกับพระพุทธรูปสลักจากหน้าผาทั่วๆ ไป


