ฉายแวว ‘เถ้าแก่’
ช่วงนี้ผมดวงดีสุดๆ ได้ค่าเซ้ง ได้งานประตูหน้าต่างไม้มูลค่า 3 แสนบาท จึงนำเงินไปซ่อมแซมโรงงาน
โดย...ซิวซี แซ่ตั้ง
ช่วงนี้ผมดวงดีสุดๆ ได้ค่าเซ้ง ได้งานประตูหน้าต่างไม้มูลค่า 3 แสนบาท จึงนำเงินไปซ่อมแซมโรงงาน ปรับปรุงถนนหนทางและอื่นๆ ในที่ดินเช่า ซื้อรถยนต์คันแรกในชีวิตเป็นรถมือสองยี่ห้อมอริส และโดยเฉพาะการเปลี่ยนหลังคาโรงงาน จากมุงหลังคาจากมาเป็นหลังคาสังกะสี
ภาพโรงงานของผมดูสวยโดดเด่นมากในย่านคลองเตย คนภายนอกมองว่า ผมรวยขึ้น มั่นคงขึ้น เวลาไปไหนมาไหนใครๆ ก็เรียก “เถ้าแก่” กันอย่างเต็มปากเต็มคำธุรกิจเช่าเซ้งที่ดินทำให้ผมลืมตาอ้าปากได้ไม่น้อยทีเดียว แต่หมดที่ดินให้เซ้งแล้ว เหลือผืนสุดท้ายที่ผมใช้เป็นโรงงานทำประตูหน้าต่างไม้และบ้านเช่า
หันมามองธุรกิจฟอกหนังของผมที่ทำกำไรได้น้อยมาก และราวปี พ.ศ. 2498 รัฐบาลมีนโยบายให้ย้ายโรงงานฟอกหนังทั้งหมดออกจากกรุงเทพฯ ไปที่บางปู จ.สมุทรปราการ เพื่อให้กรุงเทพฯ ปลอดมลพิษต่างๆ จากโรงงานฟอกหนัง โดยเฉพาะกลิ่นที่เหม็นมาก โดยมีระยะเวลาประมาณ 5 ปี ในการโยกย้าย
ความจริงก่อนปี พ.ศ. 2498 ก็มีข่าวคราวเรื่องย้ายโรงงานฟอกหนังออกจากกรุงเทพฯ มาโดยตลอด และเริ่มจะจริงๆ จังๆ ก็ในปี พ.ศ. 2498 การย้ายโรงงานไปอยู่บางปูซึ่งอยู่ไกลจากกรุงเทพฯ มาก ต้องใช้เงินซื้อที่ดิน ราคาที่ดินประมาณหมื่นกว่าบาทต่อไร่ แล้วไหนจะต้องสร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักร และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย รวมๆ แล้วต้องใช้เงินเป็นหลักแสนขึ้นไป การกู้ยืมจากธนาคารก็เป็นเรื่องยากมากในสมัยนั้น รัฐบาลก็ไม่มีแผนช่วยเหลืออะไร นอกจากทำบริเวณให้ไปอยู่รวมกันที่บางปูและมีพื้นที่ส่วนกลาง ที่พร้อมจะปรับปรุงเป็นระบบบำบัดน้ำเสียและควบคุมมลพิษต่างๆ
โรงงานฟอกหนังต่างๆ ที่ย้ายไปบางปูจึงตั้งวงแชร์กันมากมาย เพราะส่วนใหญ่อยากได้เงินก้อนแรกจากการตั้งวงแชร์ไปซื้อที่ดินและสร้างโรงงาน ทำให้ธุรกิจร้านอาหารดีมาก เพราะวงแชร์ต่างๆ ก็นัดพบและเปียแชร์กันในร้านอาหารดีๆ เถ้าแก่โรงฟอกหนังบางคนแทบจะกินโต๊ะจีนทุกวัน โรงงานที่ย้ายไปไม่ได้ก็ค่อยๆ ทยอยปิดเปลี่ยนอาชีพกันไป
โรงงานของผมก็เป็นโรงงานหนึ่งที่ไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น ผลกำไรก็ไม่มาก ยอดขายของโรงงานผมก็น้อยมากเมื่อเทียบกับโรงฟอกหนังอื่นๆ ผมเลิกธุรกิจฟอกหนังในปี พ.ศ. 2502 ในช่วงปี พ.ศ. 2495 ถึงปี พ.ศ. 2500 ผมมองหาธุรกิจอื่นมาทดแทนธุรกิจฟอกหนัง จนมาเจอหมอดูที่เยาวราช ที่ทักผมว่าธุรกิจฟอกหนังยิ่งทำยิ่งจน จึงต้องรีบหาธุรกิจใหม่ จนมาเป็นโรงงานทำประตูหน้าต่างไม้ในปี พ.ศ. 2500 ซึ่งผมจะอธิบายอย่างละเอียดตอนต่อไป
หลังจากทำธุรกิจประตูหน้าต่างไม้ได้ 2 ปี มีคนมาสอบถามหาบ้านเช่าบ่อยๆ และคนงานของผมเองจำนวนหนึ่งก็อยากหาบ้านเช่าใกล้ๆ ที่ทำงาน ผมคิดคำนวณความเป็นไปได้ของธุรกิจบ้านเช่า ใครจะมาเช่า ลงทุนเท่าไหร่ กำไรขาดทุนเท่าไหร่ เมื่อคิดว่าทำได้ ผมจึงสร้างบ้านเช่าบนพื้นที่ว่างไร่เศษ สร้างห้องเช่า 1 ห้อง มี 2 ชั้น ได้ 14 ห้อง ค่าเช่าห้องละ 140-200 บาท/เดือน ทำให้ผมมีรายได้จากการเช่าเดือนละเกือบ 3,000 บาท ซึ่งนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านได้เป็นอย่างดี พอสร้างเสร็จก็มีคนมาเช่าเต็มทั้ง 14 ห้อง ผมมีความสุขกับความสำเร็จนี้มาก
ในช่วงลงมือปลูกสร้างบ้านเช่า ชิวบ๊วยให้กำเนิดลูกชายคนที่ 2 ซึ่งเป็นลูกคนที่ 5 ของผม แม้จะมีภาระเพิ่มเติมแต่ผมไม่รู้สึกหนักใจ เพราะอย่างน้อยก็มีรายได้จากการเช่าเป็นหลักแน่นอนสำหรับครอบครัว ผมตั้งใจว่าจะไม่นำเงินรายได้ส่วนนี้ไปใช้ในธุรกิจ
ชิวบ๊วยเป็นคนดีมาก ผมเลือกคนไม่ผิด เธอช่วยผมได้มากมาย เริ่มตั้งแต่ดูแลอาหารการกินของลูกๆ 5 คน ซักรีดเสื้อผ้า ทำความสะอาดบ้านช่อง เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ และทำอะไรต่อมิอะไรที่สร้างรายได้ให้ครอบครัว เธอทำหมดอย่างไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย
(อ่านต่อฉบับวันเสาร์หน้า)


