ดาม ศรีจันทร์ นับหนึ่งใหม่กี่ครั้งยังไม่สาย
ถ้านึกถึงนักกีฬาชาวไทยที่ไปแข่งขันระดับนานาชาติแล้วได้เหรียญรางวัลในกีฬาชนิดเดียวนั้น คงนึกออกกันง่ายๆ
ถ้านึกถึงนักกีฬาชาวไทยที่ไปแข่งขันระดับนานาชาติแล้วได้เหรียญรางวัลในกีฬาชนิดเดียวนั้น คงนึกออกกันง่ายๆ แต่ถ้าถามว่ามีนักกีฬาคนใดที่ไปคว้าเหรียญรางวัลระดับนานาชาติใน 5 ชนิดกีฬาก็คงมีเพียงชายคนนี้
“ดาม ศรีจันทร์” อดีตนักกีฬาทีมชาติไทย 5 ชนิดกีฬา ได้แก่ มวยไทยสมัครเล่น มวยสากลสมัครเล่น คาราเต้โด คิกบ็อกซิ่ง และเทควันโด ปัจจุบันเขาผันตัวเองมาเป็นเจ้าของค่ายมวยไทย ชื่อ ครูดามยิม (Krudam Gym) ที่ประสบความสำเร็จจนเป็นค่ายมวยเจ้าแรกที่ขยายสาขาแบบแฟรนไชส์ ปัจจุบันครูดามยิมมี 11 สาขา ในกรุงเทพฯ 9 สาขา และต่างจังหวัด 2 สาขา
แต่กว่าจะเดินทางมาถึงจุดที่เรียกว่าเกินฝัน อดีตนักกีฬาทีมชาติคนนี้ไม่ได้ต่อสู้แค่เพียงสังเวียนผ้าใบ แต่ในสังเวียนชีวิตเขาก็ต่อสู้มาไม่น้อย
ดาม เล่าว่า บ้านเกิดอยู่ที่เมืองย่าโม จ.นครราชสีมา เขาเป็นน้องชายคนสุดท้องจากพี่น้อง 8 คน มวยไทยคือความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก พอจบชั้นประถมศึกษาจึงขอพ่อไปอาศัยในค่ายมวยใน อ.บัวใหญ่ ขึ้นชกมวยเพื่อหาค่าเทอมส่งเสียตัวเองเรียนจนจบมัธยมศึกษาปลาย
“ภาพฝันผมชัดเจนว่าจะต้องเป็นนักมวย มวยไทยทำให้ผมโตเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน ต้องออกวิ่งแต่เช้า ซ้อมเสร็จไปโรงเรียน วันหยุดก็ต้องตระเวนต่อย แต่สิ่งที่ผมคิดเสมอก็คือถึงจะได้เป็นนักมวยก็ต้องเรียนหนังสือ ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ด้วยโควตานักกีฬามวยไทย นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้เข้ามาเป็นตัวแทนทีมชาติ ก็คือการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย ผมเริ่มต้นจากมวยไทย สลับต่อยสากลอาชีพ เป็นนักกีฬาทีมชาติไทยในกีฬามวยไทย มวยสากลสมัครเล่น แล้วมาเล่นคาราเต้ ตามด้วยเทควันโด และมาปิดท้ายการเป็นนักกีฬาทีมชาติด้วยกีฬาคิกบ็อกซิ่ง ก่อนจะเลิกเล่นตอนอายุ 30 ปี”
“ผมเป็นคนหัวทึบแต่อยากเรียนนิติศาสตร์ หลังเรียนได้สองปีรู้ตัวว่าเรียนไม่ไหวก็เลยหนีไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์ ผมฝึกเป็นทหารอยู่ 3 เดือน ทีมชาติเขารู้ก็เลยขอตัวไปฝึกทีมชาติ ผมรับใช้ชาติในฐานะนักกีฬาและทหารอยู่ 2 ปี พอตั้งหลักได้เลยกลับมาเรียนต่อให้จบ โดยเปลี่ยนสาขาไปเรียนนิเทศศาสตร์แทน สรุปว่าผมเรียนปริญญาตรีอยู่ 6 ปี”
ดาม เล่าต่อว่า ค่ายมวยที่ใครๆ เห็นว่าประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ไม่ใช่ค่ายมวยแห่งแรกของเขา เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยล้มเหลวกับธุรกิจค่ายมวยชนิดหมดเนื้อหมดตัวมาแล้ว
“ตอนเปิดค่ายมวยครั้งแรกผมยังเรียนไม่จบปริญญาตรี ตอนนั้นคิดว่าจะเลิกเล่นทีมชาติ แล้วใช้เงินเก็บและเงินรางวัลจากการแข่งขันทั้งหมดทุ่มเปิดค่ายมวยแถวอาร์ซีเอ แต่ตอนนั้นมวยไทยยังไม่บูมขนาดนี้ ประกอบกับเราไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจ มันลุ่มๆ ดอนๆ มาพักใหญ่ และสุดท้ายผลคือเจ๊ง ผมต้องขายบ้าน ขายรถ สมบัติที่มีเพื่อเอาเงินไปโปะหนี้สิน พอไปไม่รอดก็กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม คืออยู่ห้องเช่า ขับมอเตอร์ไซค์ตระเวนสอนนักเรียนตามบ้าน เริ่มนับหนึ่งกับชีวิตใหม่อีกครั้ง”
จากประสบการณ์ครั้งนั้น เขาตัดสินใจกลับไปรับใช้ชาติในกีฬาคิกบ็อกซิ่ง ฮึดซ้อมเพื่อให้ได้เหรียญทองและหวังว่าเงินรางวัลก้อนสุดท้ายจะต่อชีวิตของตัวเองได้ ขณะเดียวกันก็กลับไปเรียนต่อในระดับปริญญาโท สาขาการจัดการ ที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
“ผมไม่ใช่นักกีฬาที่ดังมาก จึงมีโอกาสเห็นรุ่นพี่ที่ดังๆ หลายคนที่ล้มเหลวเรื่องการใช้เงินอยู่บ้างพอสมควร และเราก็พังเพราะบริหารจัดการไม่เป็นมาแล้วครั้งหนึ่ง ก็เลยตัดสินใจเรียนการจัดการ แล้วทำวิทยานิพนธ์เรื่องการบริหารค่ายมวยครบวงจร นี่เองทำให้ผมรู้ว่าจุดบอดของตัวเองก่อนหน้านี้คืออะไร จากนั้นผมก็ทำการอุดรอยโหว่ทุกอย่าง และเริ่มต้นใหม่เปิดค่ายมวยอีกครั้งจากเงินก้อนสุดท้ายจากเหรียญทองซีเกมส์ เริ่มจากห้องแถวเล็กๆ ในซอยสุขุมวิท 49 แล้วค่อยๆ ขยับขยายจนกลายเป็นธุรกิจแบบแฟรนไชส์ 11 สาขาในปัจจุบัน”
ดาม บอกว่า ชีวิตที่เริ่มจากไม่มีต้นทุน เรียกว่ามาจากเด็กติดลบ มีแค่ความฝันว่าอยากเป็นนักมวย การติดทีมชาติคือการเดินทางที่มาไกลเกินฝัน ดังนั้นการมีค่ายมวยของตัวเองจึงถือเป็นความสำเร็จในสังเวียนชีวิตที่เขาผ่านมา
“ความตั้งใจของผมต่อจากนี้ก็คือผมจะกลับไปสร้างศูนย์เรียนรู้มวยไทยให้กับชุมชนในโคราช ซึ่งเป็นสถานที่จุดประกายความฝันให้ผม ตอนนี้ผมก็เริ่มสนับสนุนให้เด็กๆ ที่อยากเป็นนักมวยเข้ามาเรียนในค่ายของผม แล้วส่งขึ้นชก และส่งเรียนหนังสือ ให้เขาได้โลดแล่นในเส้นทางมวยขณะเดียวกันก็มีวิชาความรู้ติดตัวด้วย”
การศึกษาบวกความใฝ่ดีและความอดทนไม่ย่อท้อ คืออาวุธสำคัญที่จะทำให้คนหนึ่งคนประสบความสำเร็จในชีวิต แม้ว่าจะเริ่ต้นจากศูนย์หรือติดลบก็ตาม เพราะอดีตนักกีฬาทีมชาติผู้หลงใหลในกีฬาต่อสู้ ดาม ศรีจันทร์ ได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว


