posttoday

หลักการสำคัญทางรัฐศาสตร์ (3)

13 ธันวาคม 2558

“คุณธรรม เหตุผล และความหวัง” คือหลักการสำคัญทางรัฐศาสตร์ “คุณธรรม” กับ “เหตุผล” ได้กล่าวไปแล้ว

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

“คุณธรรม เหตุผล และความหวัง”

คือหลักการสำคัญทางรัฐศาสตร์

“คุณธรรม” กับ “เหตุผล” ได้กล่าวไปแล้วในบทความนี้เมื่อสองตอนก่อน สรุปให้ท่านที่เพิ่งมาอ่านได้ทราบและสำหรับท่านที่อ่านแล้วเพื่อเป็นการทบทวนว่า ต้นกำเนิดของการเมืองคือการแสวงหาชีวิตที่ดีงาม ด้วยผู้ปกครองและระบอบการปกครองที่ปราชญ์ในยุคแรกๆ เมื่อ 2,500 กว่าปีคิดว่าดีงาม ซึ่งก็คือ “คุณธรรม” อันเป็นหลักการสำคัญทางรัฐศาสตร์อย่างแรก จนเมื่อ 300-400 ปีมานี้ จึงได้เกิดการเมืองยุคใหม่ที่เน้นหาคำตอบด้วยวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือการหา “เหตุผล” หรือ “ความจริง” ให้กับปรากฏการณ์ต่างๆ ทางการเมืองการปกครอง อันเป็นหลักการสำคัญทางรัฐศาสตร์อย่างที่สอง

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกมีความขัดแย้งทางลัทธิการเมืองเป็นอย่างมาก นำมาสู่การถกเถียงของนักรัฐศาสตร์ว่า “แล้วการเมืองการปกครองแบบใดล่ะ ที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด สำหรับมนุษย์และสังคมนานาชาติ” กลายเป็น “สงครามเย็น” คือการแย่งกันเป็นใหญ่ระหว่างค่ายเสรีประชาธิปไตย นำโดยสหรัฐอเมริกา กับค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ นำโดยสหภาพรัสเซีย แต่เมื่อคนอเมริกันต่อต้าน รัฐบาลอเมริกันก็ทิ้งเวียดนาม ปล่อยให้รัสเซียครองอินโดจีน ต่อมาเมื่อรัสเซียถังแตกพร้อมกับสหภาพต่างๆ ก็แยกตัวออก กำแพงเบอร์ลินพังลง ก็เป็นจุดจบของสงครามระหว่างลัทธิทั้งสองนั้น ภายใต้การก่อตัวขึ้นของ “โลกาภิวัตน์” ที่หลอมรวมโลกเข้าด้วยกัน สร้างการเมืองแบบใหม่ของ “พลเมืองโลก” ขึ้นมาเหนือ “รัฐ”

พลเมืองที่ไม่แยแสว่าใครจะมาปกครอง หรือปกครองแบบใด อย่างไร เพราะเขาสนใจแต่ว่า “ใครก็ตามที่ให้ความหวังแก่เขา ต้องตอบสนองต่อความหวังนั้นได้ มิฉะนั้นพวกเขาจะเข้ากระทำเอง” หมายความว่า “รัฐ” หรือผู้ปกครองจะมีความสำคัญน้อยลง แต่ “ประชาชน” จะมีความสำคัญมากขึ้น นั่นคือถ้าประชาชน “ลงมือทำ” แล้ว จะต้องได้ในสิ่งที่เขาต้องการ

ด้วยเหตุนี้ ทุกรัฐบาลในทุกรูปแบบและลัทธิการปกครอง ต่างก็กำลังเผชิญปัญหาของการ “บริหารความคาดหวัง” หรือความต้องการอันหลากหลายซับซ้อนของประชาชน มีทั้งที่เดาใจประชาชนง่ายๆ ว่าชอบเงินทองของแจก รัฐแบบนี้ก็จะเอา “ประชานิยม” ไปให้ บางรัฐก็คิดบริการประชาชนให้ยั่งยืน ก็จะนำ “รัฐสวัสดิการ” มาใช้ บางรัฐก็ให้เสรีประชาชนสุดโต่ง แต่บางรัฐก็ยังควบคุมประชาชนอย่างเข้มงวด ทั้งหมดนี้ก็ด้วยความคิดที่จะ “มัดใจ” ประชาชนไว้ภายใต้ “อำนาจรัฐ” อันเป็นรัฐศาสตร์แบบเก่าที่เน้นการมีอำนาจเหนือประชาชน

ผู้เขียนไม่คิดที่จะอวดตัวว่าเป็นปราชญ์ทางการเมืองการปกครอง เพียงแค่พยายาม “ตกผลึกความคิด” ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่การศึกษาวิชารัฐศาสตร์ อันเป็นที่มาของการนำเสนอหลักการสำคัญทางรัฐศาสตร์ในบทความชุดนี้ เผื่อว่าคนที่คิดปกครองบ้านเมือง จะได้มีมุมมองใหม่ๆ แล้วยอมรับความจริงว่า “รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายไม่สำคัญ ถ้าประชาชนไม่เชื่อถือหรือเชื่อฟัง” ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการทำความเข้าใจในเรื่อง “หลักการสำคัญทางรัฐศาสตร์ทั้งสาม” นี้

หลักสำคัญอย่างแรกคือ “คุณธรรม” หมายถึง “ทำให้ดี” อย่างที่สองคือ “เหตุผล” หมายถึง “ทำให้เป็นระบบ” ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ได้กล่าวมาแล้ว และอย่างที่สามคือ “ความหวัง” ที่หมายถึง “ทำให้ได้” ดังที่จะได้กล่าวต่อไป

“ความหวัง” ในพจนานุกรมให้ความหมายว่า “คาดว่าจะได้, ปองไว้, หมายไว้” ซึ่งปราชญ์และกวีทั้งหลายให้ความสำคัญถึงขนาดว่า “เป็นลมหายใจหรือพลังให้ชีวิตยังคงอยู่และดำเนินไปได้” อย่างที่ภาษาอังกฤษพูดว่า “Still Hope, Still Life.” (ในหนังแฟนตาซียุคใหม่ที่วัยรุ่นยุคนี้นิยมมากเรื่องหนึ่งคือ The Hunger Games ที่ผลิตออกมาแล้วถึง 4 ตอน ความในตอนแรกมีบทสนทนาของฝ่ายต่อต้านผู้ปกครองพูดว่า “ความหวังทำลายเผด็จการได้” จากนั้นก็ทำการปลุกเร้าผู้คนให้ค่อยๆ ขยายวงการต่อต้าน ที่สุดในตอนที่ 4 ที่เพิ่งจะลาโรงไปเมื่อ 2 สัปดาห์นี้ ก็ได้ทำลายล้างจอมเผด็จการนั้นลงไปได้ เป็นการพิสูจน์ถึง “พลังของความหวัง” ดังกล่าว)

ในทางรัฐศาสตร์ ความหวังคือพลังขับเคลื่อนทางการเมืองที่สำคัญมากๆ ถ้านักกฎหมายพูดว่า “สถานะของบุคคลเริ่มจากการคลอดออกมาและอยู่รอด” นักรัฐศาสตร์ก็อาจจะพูดได้เช่นกันว่า “การเมืองเกิดจากความคิดของมนุษย์ที่คลอดออกมาแล้วหล่อเลี้ยงด้วยความหวัง”

การเมืองเกี่ยวพันในชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย เมื่อคลอดออกมาจากท้องแม่ก็จะ “หวัง” ในการดิ้นรนให้มีลมหายใจอยู่รอด เสียงร้องของเด็กทุกคนคือเสียงเรียกร้องให้โลกสนใจพวกเขา เรียกร้องให้พ่อแม่ต้องเลี้ยงดู เมื่อโตมาก็เรียกร้องให้สังคมอุ้มชู รวมถึงเรียกร้องให้ “รัฐ” หรือผู้ปกครองมาปกป้องคุ้มครอง ตลอดจนมาช่วยทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จและความก้าวหน้ารุ่งเรือง ในสังคมที่สงบสุข สันติ มีเสถียรภาพ และความมั่นคง

ทำไมพ่อแม่จึงเลี้ยงลูกได้ดี ก็เพราะพ่อแม่เลี้ยงด้วยความรักและความปรารถนาดีอย่างแท้จริง เช่นเดียวกันถ้ารัฐเลี้ยงดูประชาชนด้วยความเอาใจใส่อย่างจริงใจ การปกครองดูแลประชาชนก็คงจะเป็นด้วยความราบรื่น (แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคโบราณนั้นก็เป็นเพราะรัฐไม่ได้ทำตัวให้เป็น “พ่อแม่ที่ดี” ไม่สามารถสนองตอบต่อความคาดหวังของผู้คนได้อย่างแม่นยำ) สิ่งหนึ่งก็คือต้องคิดว่าตนเอง (รัฐ) ก็คือประชาชน ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว เมื่อคิดจะทำอะไร ก็จะต้องคิดด้วยความต้องการของประชาชน แล้วการตอบสนองหรือ “กระทำ” ก็จะเป็นไปอย่างถูกต้องแม่นยำ

การที่ผู้คนในประเทศต่างๆ ปฏิเสธอำนาจรัฐหรือเกิดการต่อต้านรัฐก็เพราะว่า รัฐไม่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้คนได้ ผู้คนในประเทศเหล่านั้นจึงคิดที่จะทำอะไรด้วยตนเอง คนที่มองโลกในแง่ดี ก็บอกว่านี่อาจจะเป็น “ประชาธิปไตยโดยตรง” ที่ย้อนยุคกลับคืนมา แต่ที่มองโลกในแง่ร้าย ก็อาจจะมองว่านี่คือ “อนาธิปไตย” ที่คนไม่อยากอยู่ใต้ปกครองของรัฐ

ก็คงจะมาจบลงที่กรณีของประเทศไทย ซึ่งผู้เขียนหวั่นใจมากๆ ว่า ด้วยเหตุที่ คสช.ได้ให้ความหวังแก่คนไทย (รวมทั้งนานาชาติ) ไว้มาก เช่น จะมีรัฐธรรมนูญในปีหน้านี้ และมีเลือกตั้งในเดือน ก.ค. 2560 ถ้าหากทำไม่ได้ คสช.ก็คงจะอยู่ไม่ได้ เพราะทำให้ผู้คนสิ้นความเชื่อถือ

คำคมบอกไว้ว่า “หวังมากก็ผิดหวังมาก” นะครับท่าน

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา